ครบ 49 ปี สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ คนเดือนตุลาที่ถูกตัดตอนไปจากหน้าประวัติศาสตร์

Date:

19 พฤศจิกายน 2517 ครบรอบ 49 ปีของการก่อตั้ง “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย (สชท.)” ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดจากคำขวัญ “ที่ดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ” เพื่อทำให้สิทธิของชาวนาไทยได้รับการคุ้มครอง และเป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและประชาธิปไตย ที่นอกจากนี้ได้รวมกันเป็น “ขบวนการสามประสาน” ร่วมกับนิสิตนักศึกษา ปัญญาชน และกรรมกรเพื่อการประท้วงและเรียกร้องสิทธิของชาวนาชาวไร่ในประเทศไทย

จากชัยชนะของกลุ่มนักศึกษาและประชาชนหลังการต่อสู้อย่างดุเดือดในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์นี้คือประกายความหวังที่ส่งให้ให้กลุ่มชาวนาชาวไร่ ที่ในตอนนั้นคือกลุ่มคน 80% ของประชากรทั้งหมด ตัดสินใจลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิของชนชั้นชาวนาที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากเนื่องจากขาดที่ดินทำกิน ถูกเจ้าที่ดินและนายทุนขูดรีดฉ้อโกง

การชุมนุมครั้งแรกในกรุงเทพฯของกลุ่มคนที่เรียกได้ว่าเป็น “สันหลังของชาติ” เกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2517 เพื่อเรียกร้องสิทธิในการขายข้าวในตลาดโลกและประกันราคาข้าวแก่ชาวนา แต่ทางรัฐบาลของสัญญา ธรรมศักดิ์ ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ชาวนาได้อย่างแท้จริงสักที ทำให้การชุมนุมยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องอีกหลายครั้ง ทั้งในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน จนในวันที่ 9 สิงหาคม 2517 กลุ่มชาวนาได้ประกาศ “นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของการชุมนุม” ย้ำจุดยืนข้อเรียกร้องให้แก้ไขปัญหา มิเช่นนั้น พวกเขาจะคืนบัตรประชาชน ลาออกจากการเป็นคนไทย และประกาศตั้งเขตปลดปล่อยตนเองโดยไม่ให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จะมีความผิดฐานกบฏก็ตาม

หลังจากการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมที่ต่อมา พวกเขาร่วมกันก่อตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2517 ซึ่งมีคำขวัญว่า “ที่ดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ” และมี “ใช่ วังตะกู” ชาวนาจากจังหวัดพิษณุโลกเป็นประธานคนแรก เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ร่วมกันระหว่างชาวนา นิสิตนักศึกษา ปัญญาชน และกรรมกรในนาม “ขบวนการสามประสาน”


(ภาพจาก: บันทึก 6 ตุลา)

การประท้วงและการต่อสู้ของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ได้เชื่อมโยงกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย สหพันธ์นักศึกษาเสรี พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งสร้างแรงกดดันต่ออำนาจรัฐและทุน สร้างแรงกระเพื่อมต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจที่มีการกดขี่ชาวนาชาวไร่ และการรวมศูนย์อำนาจในที่ดิน  ผ่านการผลักดันพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ 2517 และพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 อันเป็นชนวนแห่งการเผชิญหน้ากับกลุ่มเจ้าที่ดินรายใหญ่ กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองและนายทุนท้องถิ่น

การต่อสู้ของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง และการแสดงความต่อต้านที่แข็งแกร่งได้ผลให้มีการตอบโต้ที่มีความรุนแรง เช่น การลอบสังหารชาวนาโดย “ขบวนการขวาพิฆาตซ้าย” ซึ่งผลให้ชาวนาถูกสังหารถึงจำนวน 46 ราย และเป็นจุดเริ่มต้นของการมีความวุ่นวายในสังคม ทั้งฝ่ายการเมืองและกลุ่มอนุรักษนิยม ส่งผลให้เกิดการล้อมปราบในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และการยุติบทบาทของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหาร และเป็นจุดสิ้นสุดของเกมทายของ จำรัส ม่วงยาม ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2522

นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ริเริ่ม “โครงการบันทึกประวัติศาสตร์สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย” ได้กล่าวว่า “การต่อสู้เรื่องค่าเช่านาทำให้เกิดการเผชิญหน้าโดยตรงกับนายทุนเจ้าของที่ดิน ซึ่งร่วมมือกับกลไกรัฐท้องถิ่น ในขณะเดียวกันภาคนโยบายส่วนบนก็ดูเหมือนกับหลิ่วตาให้ความรุนแรง หรือการไม่แก้ไขปัญหาเหล่านั้นแม้ว่าจะมีพระราชบัญญัติค่าเช่านาแล้วก็ตาม แต่คิดว่าปัญหาใจกลางคือการรับไม่ได้ต่อการลุกขึ้นสู้ของชาวนาชาวไร่”

แนวคิดในการรำลึกเหตุการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยคนรุ่นใหม่และมีการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระแสดังกล่าวก็ได้ส่งผลให้มีงานวิชาการที่เกี่ยวข้องมากขึ้น จากการรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น หอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ และโครงการบันทึก 6 ตุลา นอกจากนี้ หนังสือบันทึกที่มีชีวิตอย่างคนในเหตุการณ์ 14 ตุลา ที่เข้าสู่ช่วงอายุปลดเกษียณในปัจจุบันก็มีโอกาสได้มาร่วมรำลึก และร่วมกิจกรรมต่างๆมากขึ้น

มีการนำเสนอเรื่องของ “คนเดือนตุลา” ซึ่งเป็นคำพูดที่ใช้ในการอ้างอิงนิสิตและนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น ที่ปัจจุบันกลายเป็นบุคคลสำคัญในหลายวงการ เช่น นักวิชาการ รัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน แต่แทบจะไม่ได้หมายความครอบคลุมกลุ่มชาวนาชาวไร่ในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นการพูดถึงแต่เพียงเหตุการณ์เดือนตุลา ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนกลางหรือกรุงเทพฯ ลืมเลือนเดือนตุลาที่มาจากภูมิภาคิอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ขวัญชีวัน บัวแดง ในงานเสวนาวาระครบรอบ 50 ปี ขบวนการ 14 ตุลา ได้ให้ความเห็นถึงความสำคัญในการรำลึกถึงและความเข้าใจในขบวนการชาวนาชาวไร่ และการตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ในในประเทศไทยในปี พ.ศ.2517 ไว้ว่า “เมื่อชาวไร่ชาวนาและสามัญชนทั้งหลายไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนเดือนตุลา เรื่องการลอบสังหารผู้นำสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ 30 กว่าคนก็ไม่มีการรื้อฟื้นหรือรำลึกใดๆ อีกทั้งยังไม่มีการสอบสวน ซึ่งผู้นำสหพันธ์ชาวนาชาวไร่คือกลุ่มที่ท้าทายอำนาจ และเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ชาวนา หากไม่มีการพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ก็จะไม่มีความยุติธรรมแก่พวกเขา”


(ภาพจาก โครงการบันทึกประวัติศาสตร์สหพันธ์ชาวนาชาวไร่)

อ้างอิง

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

สุขภาพของ ‘เขา’ คือสุขภาพของ ‘เรา’ เหตุผลจริงของการรักษาที่ชายแดน บทเรียนที่แม่สอดและอุ้มผาง กับข้อตกลงสุขภาพข้ามพรมแดนที่ยังมาไม่ถึง

เรื่อง: กุลธิดา กระจ่างกุล อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก คือหนึ่งในพื้นที่ชายแดนที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคมสูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของแรงงานข้ามชาติจากเมียนมาหลายหมื่นคนที่เข้ามาทำงานในโรงงาน การเกษตร การประมง...

คกน.-เครือข่าย เปิดเวที ‘ชาติพันธุ์กับรัฐธรรมนูญ’ บทเรียน 50 ปีสู่รัฐธรรมนูญที่คนเท่ากัน

1 ธันวาคม 2568 เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) และเครือข่ายจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘การต่อสู้ของพี่น้องชาติพันธุ์กับความสำคัญของรัฐธรรมนูญ’ โดยมีองค์กรภาคประชาชนจากไทย–เมียนมาร่วมแลกเปลี่ยน เพื่อทบทวนประวัติศาสตร์การต่อสู้ด้านสิทธิชุมชน...

เมียนมาพบพื้นที่ปลูกฝิ่นสูงสุดในรอบ 10 ปี ท่ามกลางความไม่มั่นคงยืดเยื้อ

3 ธันวาคม 2025 พื้นที่ปลูกฝิ่นในเมียนมาเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบสิบปี ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งระบุถึงแนวโน้มการขยายตัวของพืชเสพติดในช่วงที่ประเทศยังเผชิญความขัดแย้งและเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง รายงาน ‘การสำรวจฝิ่นเมียนมา 2025’...