ประวัติศาสตร์

ครบ 7 ปี ‘ชัยภูมิ ป่าแส’ ถูกทหารวิสามัญฆาตกรรม ความยุติธรรมยังไม่คืบ

เช้าวันที่ 17 มี.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ทหารประจำด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้ทำการตรวจค้นรถยนต์ของ ชัยภูมิ ป่าแส หรือ จะอุ๊ เยาวชนนักกิจกรรมชาวลาหู่จากกลุ่ม ‘รักษ์ลาหู่’ ที่ขับรถยนต์เดินทางพร้อมเพื่อนอีกหนึ่งคนผ่านด่านตรวจดังกล่าว ก่อนที่ ชัยภูมิ จะถูกเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าชัยภูมิพยายามขัดขืนและทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยอาวุธมีดและระเบิดขว้างสังหาร จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้จนชัยภูมิเพื่อป้องกันตนเอง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังกล่าวหาว่าพบยาบ้าเป็นจำนวน 2,800 เม็ด...

ปัญหาของการไปไม่ทะลุกรอบอาณานิคม

ปาฐกถาในหัวข้อ “ล้านนาทะลุกรอบอาณานิคม” โดย รองศาสตราจารย์ ดร. วราภรณ์ เรืองศรี ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเวทีวิชาการ Lanna Symposium: Lanna Decolonized “ล้านนาทะลุกรอบอาณานิคม” ในวันที่ 4 มีนาคม 2567 ณ ห้องประชุมชั้น 2 ตึก...

รำลึก “บุญสนอง บุณโยทยาน” นักสังคมนิยมคนล้านนา เหยื่อทมิฬขวาพิฆาตซ้าย ตอนที่ 2 : พรรคและอุดมการณ์สังคมนิยมของบุญสนอง

ว่าด้วยอุดมการณ์นั้น แม้บุญสนองจะทราบดีและเคยระบุไว้ในงานเขียนทางวิชาการของเขาด้วยว่าอุดมการณ์สังคมนิยมยังเป็นสิ่งที่ไม่สู้แพร่หลายนักในสังคมไทย หากแต่ตัวบุญสนองนั้นไม่เคยปกปิดความเป็นนักสังคมนิยมของตัวเองเลย ดังจะเห็นได้จากการตั้งชื่อพรรคการเมืองที่แสดงอุดมการณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย” ข้อเขียนและบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ของบุญสนองเต็มไปด้วยศัพท์แสงฝ่ายซ้ายต่าง ๆ เช่น การกดขี่ขูดรีด ชนชั้น กึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา ฯลฯ ตามประสานักวิชาการฝ่ายซ้าย ว่าด้วยเรื่องศัพท์แสงนี้ กล่าวกันว่าคำศัพท์ทางสังคมวิทยาว่า “ความแปลกแยก” ซึ่งแปลมาจาก alienation และเป็นคำสำคัญที่นิยมใช้ในงานวิชาการฝ่ายซ้ายปัจจุบันนั้น ก็คือบุญสนองนี่เองที่เป็นผู้ใช้จนเป็นที่นิยมขึ้นมา บุญสนองพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดของสังคมไทยต่ออุดมการณ์สังคมนิยมอยู่บ่อยครั้งตามบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ว่าสังคมนิยมเป็นหนทางที่จะก่อให้เกิดประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจ...

รำลึก “บุญสนอง บุณโยทยาน” นักสังคมนิยมคนล้านนา เหยื่อทมิฬขวาพิฆาตซ้าย

ช่วงต้นเดือนนี้ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่กระแสความตึงเครียดและความรุนแรงทางการเมืองเริ่มปรากฏให้เห็นในสังคมไทยอีกระลอกหลังจากที่กลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายขวาบุกเข้าทำร้ายมวลชนฝ่ายก้าวหน้าระหว่างการทำกิจกรรมของกลุ่มทะลุวังบริเวณสยามสแควร์ และยังโพสต์ข้อความข่มขู่จะทำร้ายจนถึงขั้นจะเอาชีวิตนักเคลื่อนไหวฝ่ายก้าวหน้า โดยที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ได้พยายามจะป้องกันหรือจับกุมผู้ใช้ความรุนแรงแม้สักคน แต่กลับไล่จับกุมนักเคลื่อนไหวผู้เป็นฝ่ายถูกกระทำแทน พร้อม ๆ กันนี้ กลุ่มมวลชนฝ่ายขวากลุ่มอื่น ๆ ก็พยายามโหมกระแสคลั่งไคล้เทิดทูนตัวบุคคลให้กระพือขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้นึกถึงกระแส “ขวาพิฆาตซ้าย” หรือกระแสความรุนแรงโดยฝ่ายขวาที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2519 จนนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ซึ่งเป็นการสังหารหมู่ทางการเมืองที่น่าสลดใจที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย ในระหว่างช่วงไหลเชี่ยวของกระแสนี้ ฝ่ายขวาใช้ปฏิบัติการจิตวิทยาสร้างกระแสความเกลียดกลัวฝ่ายซ้ายและกระแส “ปกป้องสถาบัน” ผ่านกลไกการสื่อสารต่าง ๆ...

ประวัติศาสตร์สังคมพหุวัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่เมืองและชานเมืองเชียงใหม่: หม้อหลอมรวมใบใหญ่ในกระแสธารทุนนิยม การพัฒนาเมืองและผู้คนที่หลากหลาย

ความนำ “เชียงใหม่” ดินแดนที่ใครๆ ต่างก็มีความฝันใฝ่อยากใคร่มาอยู่เหย้า เมืองที่มีรากเหง้าและภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่สืบต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ในอดีตเชียงใหม่เคยมีฐานะเป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัฒนธรรม การค้าในภาคพื้นทวีป ทั้งยังมีความมั่นคงทางการเมืองซึ่งมีฐานะเป็นรัฐอิสระที่สร้างและแผ่ขยายชุมชนทางการเมืองในราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมาอย่างแข็งขัน (โดยเฉพาะช่วงรัฐจารีตยุคราชวงศ์มังราย) พญามังรายปฐมกษัตริย์ของเมืองแห่งนี้ได้เลือกชัยภูมิที่มีความเหมาะสมอันเป็นอาณาบริเวณใกล้เคียงอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มระหว่างเทือกเขาผีปันน้ำอยู่ด้านทิศตะวันออกและเทือกเขาถนนธงชัยอยู่ด้านทิศตะวันตกโดยมีแม่น้ำแม่ปิง (รวมทั้งแม่น้ำสาขา ได้แก่ น้ำแม่แตงและน้ำแม่กวง) เงื่อนไขและปัจจัยทางภูมิศาสตร์ดังกล่าวจึงมีความสำคัญต่อการสร้างระบบชลประทานแบบเหมืองฝายที่หล่อเลี้ยงสังคมเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพในพื้นที่ที่เรียกว่าแอ่งเชียงใหม่-ลำพูน และพื้นที่ใกล้เคียงอาณาบริเวณแถบนี้มาอย่างยาวนาน (รัตนาพร เศรษฐกุล, 2549 : 3-5)   ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเขียนที่สะท้อนประเด็นประวัติศาสตร์สังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่เมืองเชียงใหม่และส่วนขยายจากพื้นที่ของเมืองออกสู่พื้นที่ชานเมืองภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงยุคสมัยได้สร้างผลกระทบต่อผู้คนที่อยู่เหย้าเฝ้าอาศัยเป็นในพื้นที่ทางสังคมดังกล่าวซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ตลอดจนเป็นสร้างหม้อหลอมรวมทางสังคมวัฒนธรรมที่มีพลวัตซี่งสามารถพัดพาเอาผู้คนหลากหลายชาติพันธ์ให้เข้ามาสู่พื้นที่แห่งนั้นอีกด้วย เมืองเชียงใหม่ได้ให้ภาพสะท้อนของความเปลี่ยนแปลงที่ว่ามานี้ได้ดีที่สุดจากจุดเริ่มต้นที่ว่า ……เราต้องเข้าใจว่า...