รำลึก “บุญสนอง บุณโยทยาน” นักสังคมนิยมคนล้านนา เหยื่อทมิฬขวาพิฆาตซ้าย ตอนที่ 2 : พรรคและอุดมการณ์สังคมนิยมของบุญสนอง

Date:

ว่าด้วยอุดมการณ์นั้น แม้บุญสนองจะทราบดีและเคยระบุไว้ในงานเขียนทางวิชาการของเขาด้วยว่าอุดมการณ์สังคมนิยมยังเป็นสิ่งที่ไม่สู้แพร่หลายนักในสังคมไทย หากแต่ตัวบุญสนองนั้นไม่เคยปกปิดความเป็นนักสังคมนิยมของตัวเองเลย ดังจะเห็นได้จากการตั้งชื่อพรรคการเมืองที่แสดงอุดมการณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย” ข้อเขียนและบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ของบุญสนองเต็มไปด้วยศัพท์แสงฝ่ายซ้ายต่าง ๆ เช่น การกดขี่ขูดรีด ชนชั้น กึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา ฯลฯ ตามประสานักวิชาการฝ่ายซ้าย ว่าด้วยเรื่องศัพท์แสงนี้ กล่าวกันว่าคำศัพท์ทางสังคมวิทยาว่า “ความแปลกแยก” ซึ่งแปลมาจาก alienation และเป็นคำสำคัญที่นิยมใช้ในงานวิชาการฝ่ายซ้ายปัจจุบันนั้น ก็คือบุญสนองนี่เองที่เป็นผู้ใช้จนเป็นที่นิยมขึ้นมา

บุญสนองพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดของสังคมไทยต่ออุดมการณ์สังคมนิยมอยู่บ่อยครั้งตามบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ว่าสังคมนิยมเป็นหนทางที่จะก่อให้เกิดประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจ อันจะก่อให้เกิดเสรีภาพอันจริงแท้ สังคมนิยมมิได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ กระทั่งกับคำว่า “คอมมิวนิสต์” นั้น บุญสนองก็ได้อธิบายว่ามิได้มีความหมายตรงข้ามกับคำว่า “ประชาธิปไตย” ดังเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปในสมัยนั้น บุญสนองกล่าวกับหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ ไว้ว่า

ระบบสังคมนิยมที่มีการพัฒนาขั้นสูงแล้ว โดยนัยนี้ย่อมหมายถึง ระบบที่มนุษย์มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ในด้านต่าง ๆ ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ และบีบคั้นซึ่งกันและกันในด้านใด ๆ  เพราะระบบสังคมกำหนดโครงสร้างป้องกันมิให้ความเลวร้ายเหล่านั้นเกิดขึ้น และบุคคลในระบบสังคมนั้นเองก็มีระดับความสำนึกต่อส่วนรวมและต่อสิทธิความเป็นมนุษย์ของคนแต่ละคนสูงมนุษย์ในระบบนี้จึงเป็นผู้ร่วมกันสร้างและพิทักษ์ความเป็นประชาธิปไตย ในทางการปฏิบัติมิใช่แต่ในทางเพ้อฝันเท่านั้น

โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของบุญสนอง  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

บุญสนองยังมีบทบาทวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในหลายเรื่อง เขาได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2517 อยู่หลายประการ เช่น ไม่เห็นด้วยที่จะต้องมีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งไว้คานอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่เห็นด้วยกับการตัดสิทธิ์พระเณรและนักบวชศาสนาต่าง ๆ ไม่ให้มีสิทธิเลือกตั้ง และเรียกร้องให้มีการจัดประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ในจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งสันนิษฐานว่าเขียนขึ้นระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งซ่อมจังหวัดเชียงใหม่ ปี พ.ศ.2518 ท่ามกลางกระแสการคุกคามนักสังคมนิยมที่กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศ ในจดหมายฉบับนั้น บุญสนองเขียนถึงชาวเชียงใหม่ในฐานะ “คนเมืองแต่กำเนิด” และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอันเป็นองคาพยพของระบอบ “นายทุน ขุนศึก ศักดินา” ไว้อย่างเผ็ดร้อน ผู้เขียนจะขอตัดบางส่วนมาให้ได้อ่านกันพอสังเขปในบทความนี้

จดหมายจากบุญสนองถึงชาวเชียงใหม่  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

“…รัฐบาลปัจจุบันเป็นนายทุนนักต่อต้านประชาธิปไตยผสมกับเชื้อสายเผด็จการ สิ่งใดที่ไม่กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของเขา เขาจะยินยอมอะลุ่มอล่วยเพื่อสร้างความพอใจให้กับประชาชน สิ่งใดที่กระเทือนผลประโยชน์ของเขา เขาจะไม่ยอมเป็นอันขาด….

…ตัวแทนที่ประกอบขึ้นเป็นรัฐบาลนั้น ประกอบด้วยนายทุน นายธนาคารจากพรรคกิจสังคม นายทุนนายหน้าผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับญี่ปุ่นและอเมริกาจากพรรคชาติไทย นายทุนผูกขาดจากภาคอีสานจากพรรคประชาชน และเหล่าบริวารถนอมประภาสแห่งพรรคสังคมนิยม และยังมีสมุนของเขาจากพรรคเล็กพรรคน้อยคือพรรคสันติชน พรรคไท พรรคสยามใหม่ และอื่นๆ คนเหล่านี้เองที่ประกอบขึ้นที่เป็นรัฐบาล ดังนั้นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้จึงไม่เป็นไปเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐาน คือปัญหาปากท้องของประชาชน หากเป็นนโยบายฉาบฉวย และเป็นความฝัน … ขณะที่คนยากจนมีรายได้ถึงเดือนละหนึ่งเดือนละหนึ่งพันบาท ก็ปรากฏว่า พวกเศรษฐีนายทุนทั้งหลายเขามีรายได้เพิ่มขึ้นอีกนับแสนนับล้านบาท แล้วเขาก็ขายเสื้อผ้าเครื่องใช้ในราคาที่สูงขึ้นไปอีก รัฐบาลว่าจะให้คนมีรายได้น้อยขึ้นรถโดยสารฟรี เป็นการให้บริการเฉพาะคนเมืองหลวงและคนที่อยู่ในตัวเมืองเท่านั้น ชาวนาไม่ได้รับผลอะไรเลย แม้โครงการผันเงินสู่ชนบทก็ทำกันอย่างฉุกละหุก ไม่มีการวางแผนที่แน่นอน ยัดเยียดให้ชาวบ้านในสิ่งชาวบ้านไม่ต้องการก็มีมาก ดังเช่นที่ตำบลปูคา อำเภอสันกำแพง ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง และตำบลปาบง อำเภอสารภี เป็นตัวอย่าง …

… เมื่อการเลือกตั้งในวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๘ เสร็จสิ้นลงแล้ว ทั้งฝ่ายนายทุนประชาธิปไตย-เกษตร-สังคม และนายทุนกลุ่มสหพรรคต่างก็เรียกร้องให้พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยที่ผมสังกัดอยู่เข้าร่วมตั้งรัฐบาลของแต่ละฝ่ายแล้ว ล้วนประกอบด้วยขุนนาง ขุนศึก ศักดินา และนายทุนใหญ่ กับทั้งได้เห็นนโยบายถอยหลังเข้าคลองมุ่งแต่รักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนของทั้งสองฝ่ายแล้ว พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยจึงไม่อาจเข้าร่วมด้วย เมื่อรัฐบาลนี้เป็นตัวแทนของคนมั่งคนมี ไม่ใช่ตัวแทนของคนยากคนจน เมื่อรัฐบาลนี้รักษาผลประโยชน์ของพวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ชนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนข้างมากของประเทศ เราจึงยืนหยัดเป็นฝ่ายค้านที่ยึดมั่นในแนวทางสังคมนิยมอย่างเหนียวแน่น…

…แท้จริงแล้ว ไม่มีเทวดาอินทร์พรหมไหน หรือบาปบุญคุณโทษอะไร ที่มากำหนดความยากจน ตัวการที่แท้จริงคือระบบทุนนิยม เราปลูกข้าวเหนื่อยจนตัวแทบขาด พอถึงเวลาขาย แทนที่เราจะเป็นผู้กำหนดราคาได้ พ่อค้ากลับกำหนดให้เราเสร็จ เราขายใบยาสูบเขาก็กดราคาโกงตราชั่งโกงเกรด เขาจะบอกว่าใบยาไม่ดีมีคุณภาพต่ำ ถ้าปีไหนเรามีขายน้อยอาจได้ราคาดีหน่อย แต่พอเรามีใบยาสูบมากราคากลับต่ำลงไปทันที นี่แสดงว่าพ่อค้าทั้งหลายที่รับซื้อใบยาสูบของเราเขารวมหัวกันกำหนดราคายังไงก็ได้ สุดแท้แต่เขาต้องการกำไร เมื่อเราไปซื้อหมูซื้อเนื้อ เรากำหนดราคาได้หรือ ไม่ ลองคิดดู เมื่อเราต้องการซื้อปุ๋ยเขากลับเอาทรายปนมาให้เราอย่างหน้าด้าน ๆ จะต่อรองราคาก็ไม่ได้ เราจึงถูกเอาเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่องไม่ว่าจะเป็นผู้ขายหรือผู้ซื้อ…

…ผู้ใดแอบอ้างว่า “ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินไม่ได้ เพราะมหากษัตริย์ต้องทรงเป็นใหญ่” ผู้นั้นเป็นกาฝากราชบัลลังก์พยายามดึงเอาพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่เหนือการเมืองมาเป็นเครื่องมือหากิน และผู้เป็นศัตรูกับประชาชน….ผู้ใดโกหกหลอกลวงประชาชนว่าพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยจะนำจีนแดง และญวนแดงเข้ามาครอบครองไทย แต่ตนเองกลับไม่ต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน ซึ่งครอบครองประเทศไทยอยู่ตั้งครึ่งแล้วผู้นั้นเป็นคนขายชาติ….”

พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยของบุญสนองลงแข่งขันในสนามเลือกตั้งครั้งแรกในการเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2518 ทางพรรคส่งผู้สมัครลงแข่งขันรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งต่าง ๆ 82 เขตจากจำนวนเขตเลือกตั้งทั้งหมด 269 เขตทั่วประเทศ ชนะการเลือกตั้ง 15 เขต ตัวบุญสนองเองลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เมื่อเปิดประชุมสภาแล้ว พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยรวมกลุ่มกันกับพรรคการเมืองที่มีแนวทางคล้ายคลึงกัน ได้แก่ พรรคพลังใหม่ ซึ่งมีจำนวนที่นั่ง ส.ส. 10 ที่นั่ง และพรรคแนวร่วมสังคมนิยมซึ่งมีจำนวนที่นั่ง ส.ส. 10 ที่นั่ง รวมเป็นกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายสังคมนิยมขนาด 35 ที่นั่ง นับว่ามีอำนาจต่อรองพอสมควร กลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายสังคมนิยมได้รับการประสานงานจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เข้าร่วมรัฐบาลแต่เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มี “ความเป็นศักดินา” มากเกินไปจึงได้ปฏิเสธ และได้ปฏิเสธคำเชิญจากพรรคกิจสังคมด้วยเช่นกันเนื่องจากไม่ต้องการร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองฝ่ายขวา กลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายสังคมนิยมนี้จึงวางตัวเป็น “ฝ่ายค้านสังคมนิยม” ตลอดอายุของสภาชุดนั้น

ทว่า การดำเนินงานของพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยของบุญสนองต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ในขั้นแรก เมื่อพรรคตัดสินใจวางตัวเป็นฝ่ายค้านสังคมนิยมแล้วนั้น ปรากฏว่ามี ส.ส. ของพรรค 3 คนกลายเป็น “งูเห่า” ฝ่าฝืนมติพรรคยกมือสนับสนุนคึกฤทธิ์ ปราโมชย์ แห่งพรรคกิจสังคมให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของพรรคพอสมควร นโยบายต่อต้านนายทุนของพรรคยังส่งผลให้พรรคขาดผู้สนับสนุนทางการเงิน และขัดสนทุนรอนสำหรับดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เป็นผลให้ไม่สามารถส่งผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งได้ทุกเขตและไม่สามารถหาเสียงได้อย่างเต็มที่ ดังที่เมื่อคึกฤทธิ์ประกาศยุบสภาจนนำมาสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2519 บุญสนองก็ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งนั้นด้วย โดยให้เหตุผลว่า “แพงเกินไป” สะท้อนให้เห็นความขัดสนทุนทรัพย์ที่เกิดขึ้นในพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยที่ไม่อาจส่งเลขาธิการพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งได้

กระนั้น อุปสรรคสำคัญที่สุดที่พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยของบุญสนองต้องเผชิญคือกระแสความตื่นกลัวคอมมิวนิสต์อันเป็นผลจากความเพลี่ยงพล้ำของสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามถึงขั้นต้องถอนทหารออกจากเวียดนามใต้ และเวียดนามเหนือซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์สามารถกำชัยชนะในสงครามเวียดนามได้ ส่งผลให้ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในกรุงเทพ ฯ จำนวนมากเกิดความกังวลว่าเวียดนามจะบุกไทย หรือประเทศไทยจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ความกังวลทำนองนี้เป็นช่องจังหวะให้ภาครัฐ หน่วยความมั่นคง และกลุ่มเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัดร่วมกันอัดสุมไฟความกลัวภัยคอมมิวนิสต์ให้กับสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกล่าวหาว่าขบวนการนักศึกษาและแนวร่วมเป็นคอมมิวนิสต์ พร้อมกันนั้น กลุ่มหัวรุนแรงขวาจัดก็เริ่มใช้กำลังประทุษร้ายนักเคลื่อนไหว นักวิชาการ และนักการเมืองฝ่ายซ้ายหลายคน รวมถึงผู้สมัครของพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยด้วย 

กระแสตื่นกลัวคอมมิวนิสต์และการคุกคามจากฝ่ายขวาที่เกิดขึ้น ประกอบกับการเดินหมากผิดพลาดระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง เช่น การนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาช่วยหาเสียงจนเกิดเป็นเรื่องอื้อฉาว ส่งผลให้พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งซ่อมครั้งต่าง ๆ ที่ทางพรรคพยายามส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง รวมถึงในการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดเชียงใหม่แทนที่นายทองดี อิสราชีวิน ซึ่งเสียชีวิตลงนั้น แม้บุญสนองซึ่งเป็นคนเมืองจะลงสมัครรับเลือกตั้งเอง และพรรคแนวร่วมทั้งหมดจะช่วยกันหาเสียงอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งในครั้งนั้น กล่าวกันว่าในการเลือกตั้งครั้งนั้น มีการปลุกระดมมวลชนฝ่ายขวามาล้อมโจมตีเวทีปราศรัยของบุญสนองด้วย และในการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ.2519 อันเป็นปีที่กระแสฝ่ายขวาขยายตัวถึงจุดสูงสุดนั้น พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยชนะการเลือกตั้งเพียง 2 ที่นั่งเท่านั้น

ขวาพิฆาตซ้าย ความตาย และรอยเลือดของนักสังคมนิยม

แม้ผลลัพธ์จากการเมืองเลือกตั้งจะไม่เป็นที่น่าพอใจ บุญสนองยังคงตั้งมั่นในแนวทางสังคมนิยมและตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางจากการมุ่งชนะการเลือกตั้งมาเป็นการมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมนิยมในสังคมไทยแทน บุญสนองยังคงปรากฏตัวตามงานสัมมนาและกิจกรรมต่าง ๆ ของพรรคเพื่ออธิบายหลักการและทฤษฎีสังคมนิยมให้เป็นที่เข้าใจในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม กระแสขวาพิฆาตซ้ายที่เดือดระอุในช่วงปี 2518-2519 ไม่อนุญาตให้ความตั้งใจของบุญสนองดำเนินสมเจตนาได้โดยง่าย ในช่วงเวลานั้น ผู้นำฝ่ายซ้ายหลายคนไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิตนักศึกษา ชาวนา กรรมกรถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตทั่วประเทศจนปรากฏเป็นข่าวตลอดปี โดยเห็นได้ชัดว่าการทำร้ายและล่าสังหารนั้นทำกันเป็นขบวนการ 

ตัวบุญสนองและสมาชิกพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยนั้นก็ตกเป็นเป้าหมายปองร้ายด้วย ดังปรากฏว่าในช่วงปลายปี 2518 นั้น มีผู้สั่งโลงศพเปล่ามาส่งที่ที่ทำการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยสองครั้ง ครั้งแรกผู้ส่งระบุว่ามีคนสั่งให้มามอบให้กับธีรยุทธ บุญมี และอีกครั้งหนึ่งระบุว่าให้มามอบกับตัวบุญสนอง นับเป็นการขู่ขวัญนักสังคมนิยมอย่างอุกอาจ โดยยังไม่มีผู้ใดทราบว่าใครเป็นผู้สั่งโลงศพเปล่าสองหลังนั้น 

หนังสือพิมพ์ต่างประเทศรายงานข่าวการฆาตกรรมบุญสนอง  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

การข่มขู่ทำนองนี้เกิดขึ้นกับพรรคสังคมนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าใครอยู่เบื้องหลังการข่มขู่เช่นนี้ มีเพียงสมคิด ศรีสังคม หัวหน้าพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ที่ได้เล่าไว้ว่ามีผู้หวังดีมาเตือนไว้ว่า “หัวหน้าขบวนการล่าสังหารฝ่ายซ้ายไปบวชอยู่ ถ้าสึกออกมาเมื่อไหร่ จะตามฆ่าฝ่ายซ้ายทันที”

ตัวบุญสนองเองรู้ตัวดีว่าตนตกเป็นเป้าปองร้าย จรัล ดิษฐาอภิชัยเล่าให้ผู้เขียนว่าครั้งหนึ่งที่นั่งรถยนต์อยู่กับบุญสนองนั้น บุญสนองได้ขอให้จรัลพาบุญสนองหลบหนีเข้าป่าเพราะเห็นว่าการอยู่ในเมืองต่อไปนั้นอันตรายเกินไป ผ่านไปเพียงสามวันหลังจากนั้น ก็มีผู้ปองร้ายบุญสนองจริง ๆ ตามที่บุญสนองกล่าวกับจรัลไว้ อันที่จริง บุญสนองเองก็พกปืนไว้ป้องกันตัว แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มีทักษะการยิงปืนทีีดีนัก ปืนกระบอกที่ว่าจึงไม่อาจช่วยรักษาชีวิตเขาได้

กลางดึกวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2519 บุญสนองกำลังขับรถกลับบ้านมาจากงานเลี้ยงส่งเพื่อนชาวต่างชาติคนหนึ่งที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยกลับประเทศ เมื่อขับรถมาถึงถนนวิภาวดีรังสิตช่วงหน้าโรงแรมอะพอลโล บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านเกษมทรัพย์ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพักของเขา ก็มีรถสิบล้อคนหนึ่งซึ่งขับรถตามบุญสนองมาห่าง ๆ เร่งเครื่องแซงเข้าประกอบรถของบุญสนอง จากนั้น มือปืนปริศนาซึ่งคาดว่าอยู่บนรถสิบล้อคนนั้นลั่นไกยิงบุญสนอง 3 นัด กระสุนนัดหนึ่งวิ่งตรงเข้าโหนกแก้มซ้ายทะลุกกหูขวา อีกนัดหนึ่งเข้าบริเวณซอกคอ รถของบุญสนองเสียหลักวิ่งลงคลองข้างถนนวิภาวดีรังสิต สร้างความงุนงงให้กับรถที่ขับตามกันมา แม้ว่าผู้ขับขี่รถที่ตามกันมาจะแวะให้ความช่วยเหลือและรีบนำตัวบุญสนองส่งโรงพยาบาลเปาโล แต่บุญสนองได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยที่มือทั้งสองยังคงกำพวงมาลัยรถไว้แน่น 

สภาพรถยนต์ของบุญสนอง ณ ที่เกิดเหตุ  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

บุญสนอง บุณโยทยาน ดร. หนุ่มอนาคตไกลผู้เลื่อมใสในอุดมการณ์สังคมนิยม เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา ด้วยวัยเพียง 40 ปีเท่านั้น

แน่นอนว่ามือปืนที่ปลิดชีพบุญสนองนั้นหลบหนีไปได้ และยังไม่มีใครตามจับหรือทราบตัวตนฆาตกรที่สังหารบุญสนองจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นที่สันนิษฐานกันว่าเหตุฆาตกรรมบุญสนองครั้งนั้น เป็นผลงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ที่ตามเด็ดหัวบุคคลที่กองทัพเห็นว่า “เป็นภัยความมั่นคง” นั่นเอง 

 คดีความของบุญสนองนั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักสังคมนิยมว่าถูกทางการละเลยไม่สืบหาผู้กระทำผิด และข้อมูลทั้งหมดของแฟ้มคดีบุญสนองนั้น ก็สูญหายไป ราวกับว่าเป็นความลับของราชการ ทั้งที่เป็นเรื่องเหตุฆาตกรรมกลางเมืองหลวง ผิดกับคดีฆาตกรรมอื่น ๆ เพียงแต่ที่ผู้ตายเป็นผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลเพียงเท่านั้น

แถลงการณ์ร่วมของคณาจารย์ 6 มหาวิทยาลัยต่อการสังหารบุญสนอง  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

ความตายของบุญสนองเป็นที่กระทบกระเทือนจิตใจของสาธารณชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่คนหัวก้าวหน้าฝ่ายซ้าย พิธีรดน้ำศพของบุญสนองจัดขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม ที่วัดตรีทศเทพวรวิหาร โดยระหว่างการเชิญร่างไร้วิญญาณของบุญสนองจากโรงพยาบาลตำรวจไปที่วัดนั้น พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยได้จัดขบวนรถติดตามรถบรรทุกศพกว่า 30 คัน นอกจากนี้ ศูนย์นิสิต ฯ ยังได้จัดการเดินขบวนไว้อาลัยแก่บุญสนอง มีประชาชนเข้าร่วมขบวนดังกล่าวกว่า 5,000 คน ขบวนไว้อาลัยบุญสนองเคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ไปตามถนนราชดำเนิน แวะหยุดขบวนยืนสงบนิ่งที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นเวลาหนึ่งนาทีเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา ฯ ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนประชาธิปไตยตรงเข้าวัดตรีทศเทพ ฯ เพื่อเข้าร่วมพิธีรดน้ำศพ บรรยากาศพิธีเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่แฝงด้วยความหวาดระแวงการก่อกวนจากฝ่ายขวา ดังที่ปรากฏว่าฝ่ายซ้ายต้องจัดหน่วยอารักขาเพื่อคุ้มกันรักษาความปลอดภัยตลอดงาน

ขบวนไว้อาลัยบุญสนองหยุดยืนสงบนิ่งที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

ในพิธีศพนั้น นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ และนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นป๋วย อึ๊งภากรณ์ กระแส ชนะวงศ์ วีระ มุสิกพงศ์ ดำรง ลัทธพิพัฒน์ รวมถึงเพื่อนสมาชิกพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย เช่น สมคิด ศรีสังคม ธีรยุทธ บุญมี วิรัติ ศักดิ์จิรพาพงศ์ ล้วนเข้ามาร่วมงานเพื่อแสดงความเคารพบุญสนองเป็นครั้งสุดท้าย รวมถึงพร้อมใจกันประณามการสังหารบุญสนอง ซึ่ง (เห็น ๆ กันว่า) เป็นความรุนแรงทางการเมือง ป๋วยยังกล่าวประณามว่าการสังหารบุญสนองนั้นเป็นการแข่งขันบนวิถีทางที่ “ไม่เป็นลูกผู้ชาย” และหากตำรวจไม่อาจติดตามตัวฆาตกรที่ลงมือฆ่าบุญสนองมาลงโทษได้ ก็จะทำให้เมืองไทยกลายเป็นเมืองเถื่อน

บรรยากาศพิธีศพบุญสนอง  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมพิธีที่น่าจดจำที่สุดเห็นจะเป็นบัวคลี่และทัศนีย์ บุณโยทยาน มารดาและภรรยาของบุญสนอง รวมถึงดุษฎีและวีรทัย ลูกทั้งสองคนของบุญสนอง แน่นอนว่า “ครูบัวคลี่” ในวัย 64 ปีย่อมโศกเศร้าเสียใจเกินพรรณนาที่ต้องมาร่วมงานศพของลูกชายคนโต กระนั้นก็ก็ภูมิใจกับตัวลูกชายเพราะได้ตายไปอันเนื่องด้วยอุดมการณ์เพื่อประชาชน 

ครอบครัวของบุญสนองเข้าร่วมพิธีรดน้ำศพ  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

ส่วนทัศนีย์นั้น แม้จะเห็นได้ชัดเจนว่าโศกเศร้าแต่ก็มิได้ร้องไห้ ทัศนีย์กล่าวว่าเมื่อทราบข่าวว่าบุญสนองเสียชีวิต ก็ได้ปลอบลูกทั้งสองว่า “พ่อตายแล้ว แต่ไม่ต้องเสียใจ เพราะตายในหน้าที่ และตายเพื่ออุดมการณ์” กล่าวกันว่าลูกทั้งสองนั้นเข้าใจและไม่ร้องไห้เลย ตัวทัศนีย์เองมีบทบาทสนับสนุนการเคลื่อนไหวของบุญสนองตลอดมา เมื่อคราวที่มิตรสหายของบุญสนองต้องไปประชุมหารือเรื่องการตั้งพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยที่บ้านพักถนนวิภาวดีรังสิต ทัศนีย์ก็เป็นคนหนึ่งที่ช่วยต้อนรับขับสู้ดูแลผู้ร่วมประชุม เมื่อตั้งพรรคขึ้นมาแล้ว ทัศนีย์ผู้ซึ่งได้รับการทาบทามให้ลงมาร่วมต่อสู้ในสนามการเมืองอย่างเต็มตัวก็ได้ร่วมเป็นกรรมการพรรคกับบุญสนองด้วย ก่อนจะเข้าร่วมพิธีรดน้ำศพที่วัดตรีทศเทพนั้น ทัศนีย์ได้กล่าวสุนทรพจน์รำลึกถึงบุญสนองกลางที่ชุมนุมที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีประโยคขึ้นต้นว่า “เขาตายอย่างผู้เสียสละโดยแท้จริง…” ทัศนีย์ยังกล่าวถึงบุญสนองต่อไปอีกว่า 

ทัศนีย์และร่างของบุญสนอง  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

ดร.บุญสนองเคยย้ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเอารัดเอาเปรียบ การกดขี่ข่มเหง และที่สำคัญที่สุด ดร.บุญสนองได้พูดอยู่เสมอว่า ผมเป็นคนของประชาชน คุณอย่าเอาผมไปครองคนเดียวนะ ฉะนั้น แม้ว่าการที่ ดร.บุศนองจะตายไป แต่ดวงวิญญาณของ ดร.บุญสนอง ยังอยู่กับประชาชนที่รักความเป็นธรรมและอยู่กับดิฉันต่อไป โดยดิฉันจะตามรอย ดร.บุญสนองอย่างถึงที่สุด

ครอบครัวของบุญสนองที่พิธีศพ  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

อาจารย์บุญสนองไม่ใช่คนรักของดิฉันคนเดียว แต่เป็นลูกที่รักของพ่อแม่ เป็นอาจารย์ที่ดีของลูกศิษย์ เป็นนักสังคมนิยมที่ควรเอาอย่าง ขอให้ดวงวิญญาณของอาจารย์บุญสนองได้มาร่วมการต่อสู้กับผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ทุกคนในที่นี้ได้มาร้อยดวงใจร่วมกัน ดำเนินตามเจตนารมณ์และรอยเลือดของอาจารย์บุญสนองต่อไป เพื่อความกินดีอยู่ดีของคนในชาติที่รักของเรา

พิธีฌาปนกิจศพของบุญสนอง  (ขอบคุณรูปจาก https://doctorboonsanong.blogspot.com/

บุญสนองถือเป็นเหยื่อรายที่ 28 ที่สังเวยชีวิตให้กับขบวนการ “ขวาพิฆาตซ้าย” ในช่วงปี 2517-2519 และอาจเป็นหนึ่งในเหตุฆาตกรรมทางการเมืองที่เป็นที่จดจำมากที่สุดครั้งนั้น การเสียชีวิตของบุญสนองมิได้เป็นเพียงความสูญเสียของบุญสนองและครอบครัว แต่เป็นการเสียโอกาสของประเทศชาติที่ได้สูญเสียนักวิชาการคุณภาพที่เพิ่งกลับจากการศึกษาต่างประเทศมาเพียง 4 ปี และยังเป็นการสูญเสียความเป็นคนของสังคมไทย เนื่องจากหลังเหตุฆาตกรรมบุญสนองผ่านไปนั้น กระแสขวาพิฆาตซ้ายก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนนำมาสู่เหตุล้อมสังหารกลุ่มนักศึกษาและประชาชนในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ อันจะเป็นเหตุสังหารหมู่กลางเมืองที่ป่าเถื่อนที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทย

ผู้เขียนเรียบเรียงประวัติของบุญสนองไว้ในที่นี้ ไม่เพียงเพื่อรำลึกถึงบุญสนองในโอกาสครบรอบ 48 ปี การจากไปของบุญสนอง แต่เพื่อให้เรื่องราวของบุญสนองเป็นคติเตือนใจของสังคมไทย 

ทั้งสำหรับฝ่ายซ้ายว่าอย่าประมาทความบ้าคลั่งและความพร้อมใช้ความรุนแรงของฝ่ายขวา มิฉะนั้นอาจต้องตกเป็นเหยื่อเหมือนบุญสนองและคนอื่น ๆ

ทั้งสำหรับฝ่ายขวาว่าอย่าใช้ความรุนแรงเป็นทางออกเพื่อไม่ให้เกิดเหตุอันจะเป็นตราบาปแปดเปื้อนสถาบันต่าง ๆ ที่ฝ่ายตนอ้างว่ารักและเทิดทูน 

และสำหรับสังคมทั่วไปทุกฝ่ายว่าไม่ว่าความขัดแย้งทางการเมืองจะตึงเครียดปานใด อย่าหลงลืมความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคน ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝั่งฝ่ายใดทางการเมือง ล้วนแต่มีเท่าเทียมกัน

หากหลงลืมความเป็นมนุษย์ของเราและเขาไปเสียแล้ว คนเราก็จะพร้อมประหัตประหารกันด้วยเหตุใด ๆ ก็ตามได้ทุกเมื่อ ก็คือกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานดี ๆ นั่นเอง


บรรณานุกรม

  • Lowery, George, A campus takeover that symbolized an era of change. April 16, 2009. https://news.cornell.edu/stories/2009/04/campus-takeover-symbolized-era-change (Retrieved 10 Feb 2024)
  • Punyodyana, Boonsanong, “Socialism and Social Change in Thailand,” Paper presented to the Symposium on Sociology and Social Development in Asia, Tokyo, Japan, October 16-22, 1973. https://doctorboonsanong.blogspot.com/2013/02/socialism-and-social-change-in-thailand.html (Retrieved 10 Feb 2024) 
  • Strout, Cushing, “Sixties Protest Culture and What Happened at Cornell” New England Reviews. Vol.19 No.2 (Spring 1998). pp. 110-136 https://www.jstor.org/stable/40243337 (Retrieved 10 Feb 2024)
  • The Vietnam War on Campus, Revisited. http://static.as.cornell.edu/150/vietnam.html (Retrieved 10 Feb 2024) 
  • Trocki, Carl A., “Boonsanong Punyodyana: Thai Socialist and Scholar, 1936-1976”, Bulletin of Concerned Asian Scholars. 9: 3 (July-September 1977), pp.52-54. อ้างใน Carl A. Trocki เขียนถึงบุญสนอง บุณโยทยาน. 16 กุมภาพันธ์ 2556. https://doctorboonsanong.blogspot.com/2013/02/carl-trocki.html (Retrieved 10 Feb 2024)
  • คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, รายนามคณบดี. ม.ป.ป. https://socanth.tu.ac.th/about-us/past-deans/ (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • “ความรุนแรงและการลอบสังหาร” บันทึก 6 ตุลา. https://doct6.com/learn-about/how/chapter-3/3-4 (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • “ต้องเริ่มสู้ด้วยพรรคการเมือง” ประชาชาติรายสัปดาห์. ปีที่ 1 ฉบับที่ 45.  26 กันยายน 2517. อ้างใน บทสัมภาษณ์: ต้องเริ่มสู้ด้วยพรรคการเมือง. 12 กุมภาพันธ์ 2556. https://doctorboonsanong.blogspot.com/2013/02/blog-post_12.html  (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • ทำเนียบผู้บริหาร. https://www.rd.go.th/region/08/chiangmai1/79.html  (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • ทรัพย์สิน บุณโยทยาน, บางเรื่องของเมืองเชียงรายในอดีต. พิมพ์ครั้งที่ 2. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2562.
  • ทรัพย์สิน บุณโยทยาน, ผมเป็นคนไม่ (ค่อย) ดี อย่าเอาเยี่ยงอย่าง. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2544.
  • ธวัช วิชัยดิษฐ์, สรุปคำให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เรื่องนโยบายของพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย. 15 กุมภาพันธ์ 2556. https://doctorboonsanong.blogspot.com/2013/02/blog-post_4909.html  (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567) 
  • บุญสนอง บุณโญทยาน, บทความ: คิดถึงเมืองไทย. 14 กุมภาพันธ์ 2556. https://doctorboonsanong.blogspot.com/2013/02/blog-post_14.html  (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567) 
  • บุญสนอง บุณโยทยาน, “จากบุญสนองถึงพี่น้องชาวเชียงใหม่.” เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์ สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์. พิมพ์ครั้งที่สอง. (กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนาการเมือง, 2544) อ้างใน บทความ: จากบุญสนองถึงพี่น้องชาวเชียงใหม่. 14 กุมภาพันธ์ 2556. https://doctorboonsanong.blogspot.com/2013/02/blog-post_6896.html (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • “เยือนที่เกิดเหตุลอบสังหาร ‘บุญสนอง บุณโยทยาน’ เมื่อปี 2519” ประชาไท. 28 กุมภาพันธ์ 2562. https://prachatai.com/journal/2019/02/81272 (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • “เป็นกลางทางวิชาการพอได้ แต่เป็นกลางทางการเมืองไม่ได้” ประชาชาติรายสัปดาห์. ปีที่ 2 ฉบับที่ 59. 2 มหราคม 2518. อ้างใน “บทสัมภาษณ์: เป็นกลางทางวิชาการพอได้ แต่เป็นกลางทางการเมืองไม่ได้https://doctorboonsanong.blogspot.com/2013/02/blog-post_8028.html  (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • “ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การจดจัดตั้งพรรคการเมือง” ใน ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 92 ตอนที่ 193 ฉบับพิเศษ หน้า 1. 18 กันยายน 2518.
  • ปราโมทย์ นาครทรรพ, “คิดถึงบ้าน” ผู้จัดการออนไลน์. 23 กรกฎาคม 2553. https://mgronline.com/daily/detail/9520000083466 (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • ปราโมทย์ นาครทรรพ, “ปราโมทย์ นาครทรรพ” เขียนถึง “บุญสนอง บุณโยทยาน”. 15 กุมภาพันธ์ 2556. https://doctorboonsanong.blogspot.com/2013/02/blog-post_1427.html (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • ประมวลภาพข่าวเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน. 11 กันยายน 2555. https://doctorboonsanong.blogspot.com/2012/09/blog-post_3736.html (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • “เผานาทราย: ชนวนเหตุที่ถูกหลงลืมก่อนเกิดเหตุ 6 ตุลา 19” The Isaander. 16 ตุลาคม 2563. https://www.theisaander.com/post/nasai160920 (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • ไพบูลย์ สำราญภูติ, ประสบการณ์ชีวิต. กรุงเทพฯ: สามเกลอ, 2530.
  • พยุง ย. รัตนารมย์, ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นและเสรีไทยในจังหวัดตาก. 24 สิงหาคม 2567. https://pridi.or.th/th/content/2021/08/809 (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • รำลึก 40 ปีที่จากไป “ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน” 28 กุมภาพันธ์ 2559. https://thaienews.blogspot.com/2016/02/40_28.html (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • “วารสารรายปักษ์ “ศูนย์” สัมภาษณ์ ดร.บุญสนอง” ศูนย์. ปักษ์หลัง. ฉบับที่ 3 กุมภาพันธ์ 2556 บทสัมภาษณ์: วารสารรายปักษ์ “ศูนย์” สัมภาษณ์ ดร.บุญสนอง. 15 กุมภาพันธ์ 2556. https://doctorboonsanong.blogspot.com/2013/03/blog-post.html (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • สุชาติ สวัสดิ์ศรี, สัมภาษณ์โดยผู้เขียนเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567.
  • สุรชาติ บำรุงสุข, “40 ปีแห่งการล้อมปราบ (13) สงคราม ความกลัว ความตาย!” ใน มติชนสุดสัปดาห์. ฉบับวันที่ 16-22 ธันวาคม 2559. https://www.matichonweekly.com/column/article_18697 (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
  • “เหตุการณ์ 14 ตุลา” ใน จดหมายเหตุดิจิทัล มหาวิทยาลัยรามคำแหง. https://archives.lib.ru.ac.th/s/RU-Archives/page/October14 (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, “บุญสนอง บุณโยทยาน” ใน ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า. http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87_%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99 (สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2567)
เดชตะวัน เข็มปัญโญ

มาตรการลงทะเบียนซิมด้วย Liveness Detection ถูกตั้งคำถาม กระทบคนไร้สัญชาติ–แรงงานข้ามชาติ ‘ตี่ตาง’ ชี้จำกัดสิทธิสื่อสาร แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

จากกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ เเละกิจการโทรคมนาคมเเห่งชาติ (กสทช.) ประกาศใช้เทคโนโลยี Liveness Detection เมื่อวันที่...

พ่อหมอกฤตไท ร้องหยุดดองร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ด้านสภาลมหายใจ เเถลงไม่ควรเอื้อนายทุน

หลังจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ในวาระสามด้วยคะแนนเห็นด้วย 309 เสียง...

ให้คะแนนรัฐบาลอนุทิน ‘สอบตกยกแผง’ แก้ปัญหาน้ำกก–สายรวก–โขงปนเปื้อนโลหะหนัก จากเหมืองแร่ในรัฐฉาน

สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประเมินการทำงานของรัฐบาลไทยในการรับมือปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ระบุว่า ‘สอบตกยกแผง’ พร้อมแจกแจงการประเมินเป็นรายบุคคลต่อผู้นำฝ่ายบริหารสามตำแหน่ง นายกฯ...

Lanner Joy: LOLA Gallery DRIP แรงบันดาลใจจากความฝันเล็กๆ สู่รากกาแฟห้วยตองก๊อที่เติบโตอย่างแข็งแรง

เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ยามบ่ายต้นเดือนพฤศจิกายนที่ลานกว้างของโครงการจริงใจมาร์เก็ต เชียงใหม่ เสียงแจ๊สลอยแผ่วเบาเคล้ากลิ่นกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ เทศกาล Jazz Arabica กลับมาอีกครั้งในปี...