วันนี้ 1 เมษายน 2566 เวลา 07.22 น. เพจศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง ได้เผยแพร่โพสต์ที่เขียนโดย รองศาสตราจารย์สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์และหัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ล้มเหลวในการแก้ปัญหาฝุ่นและการบริหารประเทศตลอด 8 ปีที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาดังนี้
เชียงใหม่เมืองอากาศอันตรายร้ายแรง
เรื่องจริง ไม่ใช่ April Fool’s Day
เป็นเวลามากกว่าสัปดาห์แล้วที่ปริมาณฝุ่น 2.5 ในเชียงใหม่และจังหวัดอื่นในภาคเหนือขึ้นไปแตะระดับภาวะ “อันตราย” สถานการณ์นี้สามารถมองเห็นได้แม้กระทั่งด้วยสองตาว่าอยู่ในห้วงเวลาวิกฤติ แต่ไม่น่าเชื่อว่าหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกลับเงียบเชียบ
จนราวกับว่าบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีนายกฯ, ไม่มีรัฐมนตรีฯ สิ่งแวดล้อม, ไม่มีรัฐมนตรีฯ สาธารณสุข, ไม่มีผู้ว่าฯ และไม่มีหน่วยงานรัฐใดที่จะแสดงความกระตือรือร้นในการรับมือกับปัญหานี้
(นอกจากการเอารถพ่นน้ำไปวางในจุดใกล้เครื่องวัดฝุ่น หรือการประกาศให้คนระมัดระวังการอยู่นอกบ้าน ขอโทษนะครับ อันนี้ไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไรแม้แต่น้อยเลย)
แม้จะไม่ใช่โรงงานสารเคมีระเบิด ไม่ใช่น้ำท่วม ไม่ใช่พายุถล่ม ที่นำมาซึ่งความเสียหายอย่างชัดเจน แต่ภาวะฝุ่นอันตรายจะเป็นปัญหาสุขภาพในระยะยาว ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ชี้แจงแล้วว่าจะเป็นสาเหตุต่อการเกิดโรคร้ายแรง ยิ่งกับผู้อ่อนแอ ผู้สูงอายุ หรือที่มีโรคประจำตัว ก็จะได้รับผลกระทบเร็วและรุนแรงมากขึ้น
ไม่น่าเชื่อนะครับ พอนักศึกษาไปยืนถือป้าย “มาหาป้อคิงหยัง” (มาหาพ่อคุณหรือ) ต้อนรับนายกฯ หน่วยงานรัฐทั้งตำรวจ มหาวิทยาลัย กลับบูรณาการได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านบุคลากร ทรัพยากร ความมีประสิทธิภาพ
แน่นอนว่าปัญหาฝุ่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ แต่ 8 ปีที่อยู่ในตำแหน่งมาได้ทำอะไรไปบ้างที่แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาในการแก้ไขอย่างยั่งยืน ฝุ่นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมและทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่มีแนวทางอะไรที่ทำให้ประชาชนได้มีความหวังต่อการแก้ไขปัญหานี้เลย
ถ้าคิดอะไรไม่ออก อย่างน้อยหน่วยงานรัฐทั้งระดับประเทศและรัฐบาลกลางก็สามารถรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ อย่างน้อยก็มีหลายเรื่องที่ต้องทำก่อน เช่น การประกาศพื้นที่อันตายด้านสิ่งแวดล้อม, การแจกหน้ากากให้กับประชาชน, การสร้างพื้นที่ปลอดฝุ่นให้ประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องฟอกอากาศ, การทำงานอยู่ที่บ้านในหน่วยงานรัฐที่เป็นไปได้ เป็นต้น เรื่องแค่นี้ไม่ได้ใช้สติปัญญาอะไรมากมายหรอก คนธรรมดา ๆ ก็สามารถคิดได้
มีอีกหลายเรื่องที่สามารถทำได้แม้ในระยะเวลาเฉพาะหน้า หากยังมีสติปัญญาและที่สำคัญก็คือการมองเห็นชีวิตและสุขภาพของประชาชนว่ามีความสำคัญ มากกว่าการพะวงถึงความมั่นคงในตำแหน่งหรือมุ่งจะเลียชนชั้นนำแต่เพียงอย่างเดียว
ปัญหาฝุ่น 2.5 สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวอย่างมากของรัฐและการปกครองท้องถิ่นของไทยและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข การเลือกตั้งเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสะท้อนความเดือดร้อนของประชาชน บรรดานกหวีด เหล่าสลิ่ม ผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ยังคิดว่า พล.อ. ประยุทธ์ ยังมีสติปัญญาและความสามารถในการบริหารบ้านเมืองก็ควรเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป เลือกไปเลยครับและควรป่าวประกาศให้คนอื่น ๆ มาร่วมลงคะแนนให้ต่อไป แต่หากใครที่เห็นในทางตรงกันข้ามก็ควรถอยห่างออกมาได้แล้ว
คนเราสามารถผิดพลาดได้ในบางครั้ง แต่ใครที่เห็นความจริงแล้วยังคงทำผิดพลาดต่อไป นั่นไม่ใช่แค่เป็นความโง่เขลา หากเป็นความสิ้นคิดอย่างแท้จริง
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
วันที่อากาศเป็นอันตราย แต่รัฐไทยเงียบเชียบราวป่าช้า
1 เมษายน 2566

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...