เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ ยื่นหนังสือถึง นายก-ผู้ว่าฯ แนะค่าจ้างขั้นต่ำ 700 บาท/วัน

Date:

1 พฤษภาคม 2567 เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ จัดขบวนแห่ผ้าป่าเสนอข้อเรียกร้องและยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ในเนื่องโอกาสวันแรงงานสากล ปี 2567 ณ ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ภายในงานนี้ประกอบด้วยเครือข่ายจาก Migrant Worker Federation, กลุ่มคนงานหญิงเพื่อความเท่าเทียม และสหภาพบาริสต้า โดยเริ่มเดินขบวนผ้าป่าเวลา 13.30 น. และยื่นข้อเรียกร้องต่อตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เวลา 14.00 น. ซึ่งข้อเรียกร้องของเครือข่ายแรงงานภาคเหนือในปีน้มีทั้งหมด 29 ข้อ ข้อหลัก ๆ เป็นการเรียกร้องค่าจ้างขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 700 บาทต่อวัน และเรียกร้องสวัสดิการพื้นฐานที่ควรได้รับให้เท่ากันว่าจะเป็นอาชีพไหน เพศอะไร และเชื้อชาติใด

โดยในหนังสือมีเนื้อหาดังนี้ เนื่องด้วยวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เป็น “วันแรงงานสากล” ซึ่งเป็นวันที่คนทำงานทั่วโลกได้รำลึกถึงการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมของคนทำงาน เป็นการยกย่องและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของคนทำงานในทุกสาขาอาชีพ สิทธิอันชอบธรรมที่คนทำงานสมควรได้รับในฐานะมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับประชาชนกลุ่มอื่น ๆ ในฐานะที่คนทำงานเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวไปข้างหน้าและทัดเทียมกับนานาประเทศ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมให้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญของคนทำงาน เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ ร่วมกับคนทำงานทุกสาขาอาชีพจึงขอเรียกร้องดังต่อไปนี้

1.ขอให้รัฐบาลกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 700 บาทต่อวัน เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลต้องใช้หลักค่าจ้างเพื่อชีวิต (Living Wage) ในการพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หมายถึงค่าจ้างที่ทำให้แรงงานสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้ค่าจ้างอัตราเดียวกันทั้งประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ด้านงานที่มีคุณค่า (Decent Work) และด้านการลดความเหลื่อมล้ำ นอกจากนี้รัฐบาลต้องแก้ไขกฎกระทรวงให้การสรรหาคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งทำหน้าที่กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ มีความโปร่งใสและเป็นประชาธิปไตย เปิดเผยบันทึกการประชุมค่าจ้างทุกครั้ง เปิดเผยข้อมูลและสูตรการคำนวณค่าจ้างขั้นต่ำ

2.รัฐบาลและรัฐสภาต้องส่งเสริมการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน ให้แรงงานทุกอาชีพ ทุกสภาพการจ้าง โดยเฉพาะแรงงานภาครัฐและแรงงานข้ามชาติ สามารถรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองได้อย่างเสรี โดยให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ILO ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง

3.รัฐต้องกำหนดเวลาทำงานพื้นฐาน 4 วัน หรือ 32 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานทุกภาคส่วนจะได้รับความคุ้มครองและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีเวลาใช้ชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะบุคลากรด้านสาธารณสุขต้องทำงานไม่เกิน 60 ชม.ต่อสัปดาห์ อีกทั้งยังได้รับการพิสูจน์ในหลายประเทศแล้วว่าทำให้แรงงานมีผลิตภาพมากขึ้น

4.ขอให้รัฐบาล รัฐสภา คณะกรรมการประกันสังคม กำหนดให้แรงงานทุกคนเข้าสู่ระบบประกันสังคม โดยไม่แบ่งแยกอาชีพ สภาพการจ้าง และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เช่น เงินอุดหนุนบุตร ค่าคลอดบุตร บำนาญ ประกันการว่างงาน ค่ารักษาพยาบาล และเพิ่มอัตราการสมทบของผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 15,000 บาทในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้การสมทบเป็นแบบถดถอย (regressive) กล่าวคือ มีมากต้องจ่ายสมทบมากเช่นเดียวกับภาษี

5.รัฐบาลต้องให้ความคุ้มครองด้านแรงงานแก่แรงงานทุกกลุ่มโดยไม่แบ่งแยกและไม่เลือกปฏิบัติ แรงงานทุกกลุ่มต้องอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานภาครัฐ แรงงานมหาวิทยาลัย แรงงานภาคประชาสังคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร แรงงานที่ทำงานให้พรรคการเมือง แรงงานอิสระ แรงงานแพลตฟอร์ม แรงงานนอกระบบ แรงงานภาคเกษตร แรงงานประมง แรงงานข้ามชาติ แรงงานที่ทำงานบ้าน ลูกจ้างชั่วคราวเหมาค่าแรงของภาครัฐ แรงงานบริการ

6.ขอให้รัฐบาล รัฐสภา พิจารณา พรบ.คุ้มครองแรงงานที่กำลังอยู่ในขั้นตอนคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ขณะนี้ ให้กำหนดให้มีวันลาคลอดไม่ต่ำกว่า 180 วัน โดยสามารถลาได้ทั้งพ่อและแม่ และกำหนดให้มีโควต้าวันลาเฉพาะพ่อเท่านั้นเพิ่มอีก 30 วัน เพื่อกระตุ้นให้พ่อใช้วันลาคลอดมากขึ้น แบ่งเบาภาระการเลี้ยงดูบุตรของแม่ ส่งเสริมการลดบทบาทเฉพาะเพศ ส่งเสริมให้แม่กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน และลดการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานแม่

7.รัฐบาลต้องมีการบังคับใช้กฎหมายแรงงานที่มีอยู่แล้วอย่างเคร่งครัด แรงงานจำนวนมากยังต้องทำงานโดยได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด ยังต้องทำงานเกินชั่วโมงการทำงานโดยไม่ได้รับค่าล่วงเวลา ยังถูกหักค่าจ้างเป็นการลงโทษ นายจ้างหักเงินแต่ไม่นำส่งประกันสังคม ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างมาก โดยรัฐต้องเพิ่มจำนวนพนักงานตรวจแรงงานให้มากขึ้น 10 เท่า จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 1 คน ต่อประชากร 100,000 คน เป็น 1 ต่อ 10,000 คน เพื่อความครอบคลุมในการบังคับใช้กฎหมาย รัฐบาลต้องรับอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 81 ว่าด้วยการตรวจแรงงาน และฉบับที่ 129 ว่าด้วยการตรวจแรงงานเกษตรกรรม รัฐบาลต้องทำให้การตรวจสอบเรื่องร้องเรียนด้านแรงงานสามารถตรวจสอบออนไลน์ได้

8.รัฐบาล รัฐสภา ต้องพิจารณากำหนดให้วิสาหกิจขนาดใหญ่ มีการจ้างงานมากกว่า 200 คน ต้องมีตัวแทนแรงงานอยู่ในคณะกรรมการบริษัทไม่ต่ำกว่า 25% และกำหนดให้คณะกรรมการบริษัทต้องมีเพศหญิงหรือเพศหลากหลายไม่ต่ำกว่า 30% ตามหลักการบริหารอย่างมีส่วนร่วม (Co-determination)

9.รัฐบาลต้องเพิ่มโทษของนายจ้างที่ละเมิดสิทธิแรงงาน ทั้งเพิ่มโทษปรับ โทษจำคุก และเพิกถอนสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เช่น การลดหย่อนภาษี ให้กองติดตามและประเมินผลของ BOI มีช่องทางร้องเรียนด้านการละเมิดสิทธิแรงงานเพื่อเพิกถอนสิทธิประโยชน์

10.รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการในการกำจัดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิทั้งทางการเมืองและทางเพศ สนับสนุนพรบ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล และยกเลิกระเบียบที่ละเมิดสิทธิผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่น ต้องไม่มีการกำหนดและตรวจสอบความคิดทางการเมืองก่อนและหลังเข้าทำงาน ต้องไม่มีการตรวจสอบการตั้งครรภ์ก่อนเข้าทำงาน ค่าจ้างในตำแหน่งเดียวกันต้องเท่ากันทุกเพศ ต้องมีมาตรการการตรวจสอบและลงโทษการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน ต้องไม่มีนโยบายไม่รับบริจาคเลือดจากผู้มีความหลากหลายทางเพศของสภากาชาด ยกเลิกการเกณฑ์ทหารโดยเปลี่ยนไปใช้ระบบสมัครใจ อีกทั้งรัฐต้องส่งเสริมสิทธิของผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศในทุกมิติ เข้าถึงกองทุนและการสนับสนุนของรัฐ เช่น กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี

11.รัฐบาลหรือรัฐสภาต้องกำหนดให้มีวันลาพักผ่อนแก่แรงงานทุกคนไม่ต่ำกว่า 25 วันต่อปี และขอให้มีการกำหนดวันหยุดโดยได้รับค่าจ้างให้กับคนทำงานทุกคนในวันที่เป็นประจำเดือน ในวันที่มีอาการเครียด และในวันที่มีอาการหมดไฟในการทำงาน (Burn out)

12.รัฐบาลต้องยกเลิกการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)จากผ้าอนามัย และต้องจัดให้มีการแจกผ้าอนามัยฟรีให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพื่อแก้ปัญหาความจนประจำเดือน (Period Poverty) ที่ส่งผลเสียอย่างอื่นตามมา

13.รัฐต้องจัดให้มีรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income: UBI) แก่ประชากรทุกคน ไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจนเดือนละ 3,000 บาท เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตและพัฒนาศักยภาพแรงงานทุกภาคส่วน รวมไปถึงจ่ายค่าตอบแทนให้กับคนทำงานดูแล(care income) เพราะงานบ้านคืองานพื้นฐานที่สำคัญต่อสังคมไม่แพ้งานนอกบ้าน หากไม่มีคนงานบ้านสังคมก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้

14.รัฐบาลและรัฐสภาต้องแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยเร็วที่สุด โดยการผ่านร่าง พรบ.อากาศสะอาด ห้ามนำเข้าสินค้าที่มีกระบวนการผลิตจากการเผา และกำหนดให้ผู้ปล่อยมลพิษต้องจัดทำรายงานความโปร่งใสให้ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพราะผู้ที่ได้รับกระทบมากที่สุดจากฝุ่นคือแรงงานที่ทำงานนอกบ้าน ไม่สามารถหยุดงานได้ เช่น แรงงานก่อสร้าง แรงงานส่งอาหาร พนักงานรักษาความปลอดภัย ผู้ประกอบอาชีพค้าขายอิสระ ฯลฯ

15.ในการเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลไทยกับสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐฯอเมริกาที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้ ตัวแทนทุกฝ่ายต้องคำนึงถึงประเด็นด้านสิทธิแรงงาน ให้คำมั่นสัญญาว่าการเปิดเขตการค้าเสรีจะต้องแลกกับสิทธิแรงงานที่ดีขึ้น เปิดเผยผลการศึกษาว่าเขตการค้าเสรีจะไม่ทำให้ความเป็นอยู่ของแรงงานแย่ลง

16.รัฐต้องสร้างระบบขนส่งสาธารณะพื้นฐาน รถไฟทุกอำเภอ รถเมล์ทุกตำบล เลนจักรยาน ซึ่งจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นลดภาระค่าใช้จ่ายของทั้งนายจ้างและแรงงานในการเดินทาง ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ขอให้กรมการขนส่งทางบกอำนวยความสะดวกให้แรงงานข้ามชาติสามารถขอใบขับขี่ได้โดยสะดวก

17.รัฐบาลท้องถิ่นต้องมีสถานดูแลเด็ก (Childcare) ที่มีคุณภาพในทุกเทศบาล โดยรัฐบาลกลางต้องอุดหนุนงบประมาณ เพื่อลดค่าใช้จ่าย/ภาระการเลี้ยงดูบุตรหลานของครอบครัวโดยเฉพาะแม่ ส่งเสริมให้แม่เข้าสู่ตลาดแรงงานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังส่งผลต่อการพัฒนาทางสติปัญญาและทางอารมณ์ของเด็ก

18.   รัฐบาลต้องเก็บภาษีความมั่งคั่ง (Net Wealth Tax) โดยกำหนดผู้มีทรัพย์สิน 30,000,000 บาท หรือกลุ่มที่มีความมั่งคั่งบนสุด 0.1% ของประเทศ ต้องจ่ายภาษีฐานความมั่งคั่งแก่รัฐในอัตรา 0.1% ของมูลค่าทรัพย์สินทุกปี โดยสามารถพิจารณาเก็บมากขึ้นแบบขั้นบันได เช่น หากมีทรัพย์สินมากกว่า 100,000,000 บาท ต้องจ่ายภาษีความมั่งคั่ง 0.5% ต่อปี เป็นต้น

19.รัฐบาลและรัฐสภาควรพิจารณาการกำหนดระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ(NEC)อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะประเด็นด้านแรงงาน ไม่ให้มีปัญหาซ้ำรอยด้านการละเมิดสิทธิแรงงานเฉกเช่นเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่น จำนวนแรงงานเพียงพอในการสร้างธุรกิจเป้าหมายประเภทต่างๆ ไม่ขายฝัน

20.ขอให้รัฐบาลไทยให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ILO ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับลูกจ้างทำงานบ้าน เพื่อส่งเสริมสิทธิของคนงานทำงานบ้าน อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการต่อต้านความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน

21.ขอให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลประเทศต้นทางปฏิบัติตามอนุสัญญา ILO 181 ว่าด้วยบริษัทจัดหางานเอกชน ตามมาตรา 7 บริษัทนายหน้าต้องไม่คิดค่าบริการใดๆ จากคนงานไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ตามคำแนะนำของ UN และ ILO

22.ขอให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี เพื่อเลิกการตีตราและกดทับพนักงานบริการทางเพศ

23.รัฐต้องปรับแก้กฎหมายเพื่อคุ้มครองแรงงานผู้มีความหลากหลายทางเพศ จากการคุกคาม ทำร้ายร่างกาย หรือถูกกระทำรุนแรงที่เกิดจากความเกลียดชัง (Hate Crime) และการเตรียมเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ (Grooming) และเพิ่มบทลงโทษต่อผู้กระทำความผิด

24.รัฐธรรมนูญต้องระบุคำว่า “ผู้มีความหลากหลายทางเพศ” เพื่อรับรองสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมายของผู้มีความหลากหลายทางเพศ

25.ให้รัฐบาลขยายแหล่งที่มาของรายได้ในกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างโดยให้จัดเก็บเงินจากนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในประเทศไทย เพื่อเป็นเงินสำรองจ่ายให้กับคนงานในกรณีปิดกิจการ หรือเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย เนื่องจากที่ผ่านมามีนักลงทุนจำนวนมากไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในกรณีปิดกิจการหรือเลิกจ้างคนงาน โดยผลักภาระให้กับคนงานดำเนินคดีความเพื่อเรียกร้องสิทธิของตนเอง และมีคนงานจำนวนมากชนะคดีแต่ไม่ได้รับการชดเชยแต่อย่างใด เพราะนักลงทุนอ้างว่า ไม่มีเงิน ล้มละลาย หรือหนีออกนอกประเทศ

26.ขอให้รัฐบาลไทยมีนโยบายให้ทุกหน่วยงานของรัฐที่ให้บริการในด้านต่าง ๆ แก่แรงงานข้ามชาติ จัดให้มีล่ามแปลภาษาต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่แรงงานข้ามชาติที่เข้ามาใช้บริการหรือร้องเรียน

27.ให้แก้ไข กฤษฎีกา ให้แรงงานข้ามชาติที่มีความประสงค์ที่จะกลับประเทศต้นทางและไม่ประสงค์ที่จะพำนักในประเทศไทยอีกต่อไปสามารถยื่นรับเงินจากกองทุนบำนาญชราภาพทั้งก้อนได้ทันที

28.รัฐต้องกำหนดนโยบายการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติที่เป็นระบบและเป็นนโยบายระยะยาว 5 – 10 ปีที่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน การไม่เลือกปฏิบัติ เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานและการอนุญาตให้อยู่ในประเทศ โดยให้ความสำคัญกับประเด็นดังต่อไปนี้

1.แรงงานข้ามชาติสามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานได้ด้วยตนเองได้โดยไม่มีการปิดกั้นและดำเนินการได้ตลอดทั้งปี โดยกำหนดระเบียบขั้นตอนการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานแรงงานข้ามชาติที่ไม่ซับซ้อน ใช้เอกสารและค่าใช้จ่ายน้อย และมีศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ที่เปิดให้บริการตลอดทั้งปี เพื่อลดการพึ่งพานายจ้างและนายหน้าซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายทางอ้อมของการขึ้นทะเบียนและขอใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติได้

2.รัฐต้องกำหนดกลไกหรือมาตรการที่ทำให้เกิดการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานและการอาศัยอยู่ในประเทศของแรงงานข้ามชาติ เพื่อส่งเสริมสิทธิและการปกป้องคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ

3.กำหนดบทลงโทษนายหน้าหรือนายจ้างที่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานที่นอกเหนือจากกฎหมายกำหนด

4.กำหนดระยะเวลาของใบอนุญาตทำงานแรงงานข้ามชาติและการต่อวีซ่าให้สอดคล้องกับอายุของหนังสือเดินทาง หรือเอกสารบุคคลของแรงงานข้ามชาติ

5.ขยายอายุการจ้างแรงงานข้ามชาติจนถึงอายุ 60 ปี และขยายการเข้าถึงบัตรประกันสุขภาพตามอายุการจ้างงาน

6.แรงงานข้ามชาติสามารถทำงานได้ตามทักษะความสามารถ และวุฒิการศึกษา การอนุญาตทำงานมีความยืดหยุ่น ไม่จำกัดประเภทงาน และไม่ต้องขึ้นอยู่กับนายจ้างเพียงคนเดียว โดยอนุญาตให้แรงงานข้ามชาติสามารถทำงานกับนายจ้างอื่นนอกเวลาทำงานที่ระบุตามใบอนุญาตทำงานได้ เช่น แรงงานข้ามชาติที่ทำงานในภาคเกษตรสามารถไปทำงานก่อสร้างในช่วงระหว่างการดูแลรักษาเพื่อรอการเก็บเกี่ยวผลผลิต หรือแรงงานก่อสร้างสามารถไปทำงานเป็นลูกจ้างในตลาดได้ระหว่างที่นายจ้างกำลังหางานก่อสร้างแห่งใหม่

7.ผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติทุกคนเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ โดยการปรับอัตราค่าประกันสุขภาพผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติที่อายุไม่เกิน 18 ปี เป็นอัตรา 365 บาท/ปี/คน เนื่องจากยังมีสถานะเป็นเด็กเยาวชนและไม่มีรายได้ และต้องเข้าถึงการได้รับบริการสุขภาพทุกแห่งทั้งภาครัฐและเอกชนที่ใกล้ที่สุด โดยไม่จำกัดเพียงสถานพยาบาลที่ระบุในบัตรประกันสุขภาพ โดยแรงงานข้ามชาติต้องไม่ถูกทวงถามสิทธิก่อนการรักษา และได้รับการรักษาโดยไม่บ่ายเบี่ยง

8.ผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติทุกคนเข้าถึงสิทธิการศึกษาอย่างเท่าเทียมและต่อเนื่อง ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และกำหนดแนวทางปฏิบัติในการเทียบโอนผลการเรียนของนักเรียนระหว่างประเทศไทย – ประเทศต้นทางที่ชัดเจน

9.ผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติต้องได้รับความคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ถูกจับปรับหรือคุมขังโดยอำเภอใจ และไม่ถูกบังคับใช้แรงงาน

10.ผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติสามารถเข้าถึงการปรับสถานะบุคคลได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยสร้างมาตรการที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้เวลาสั้น และโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้

29.ในสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศเมียนมาส่งผลให้มีผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เครือข่ายแรงงานภาคเหนือขอให้รัฐบาลยุติการกักขังและบังคับส่งกลับทั้งแรงงานและผู้อพยพจากประเทศเมียนมา รวมถึงการอนุญาตให้อยู่อาศัย ทำงาน เข้าถึงการบริการด้านสุขภาพ การศึกษา และการเดินทาง โดยเร่งด่วน

พื้นที่สื่อสาร สังคมประชาธิปไตย ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

Lanner Editor
Lanner Editor
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ปมดับปริศนา ‘พลทหารราเชน ยวามื่อ’ ในค่ายพิษณุโลก คนใกล้ชิดตั้งข้อสงสัย หลังเกิดเหตุไฟดับ–กล้องเสีย

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross-Cultural Foundation) เปิดเผยว่าได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารราเชน...

กลุ่มรักษ์เชียงของยื่นฟ้องนายกฯ–กฟผ. ปมเขื่อนปากแบง หวั่นแม่น้ำโขงกลายเป็น ‘อ่างตะกอนพิษ’

12 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มรักษ์เชียงของ พร้อมประชาชน นักวิชาการ และทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ฟ้องนายกรัฐมนตรี...

ทหารเกณฑ์ดับในค่ายพิษณุโลก มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจี้สอบเหตุละเมิดสิทธิ

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารเกณฑ์รายหนึ่งเสียชีวิตภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก หลังเข้ารับการฝึกเพียงไม่ถึง 10...

เครือข่าย กก สาย รวก โขง ยื่น 5 ข้อ แก้ปัญหาน้ำปนสารพิษ ด้านรัฐบาลยืนยันยุติโครงการฝาย

ภาพ: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต 11 พฤศจิกายน 2568 ที่หอประชุมคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย  การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300...