MMN ร้องรัฐปลายทางต้องมีมาตรการช่วยผู้อพยพเมียนมา เหตุถูกบังคับส่งเงิน ภาษีซ้ำซ้อน บังคับเกณฑ์ทหาร

Date:

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 เครือข่ายการย้ายถิ่นในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (MMN) ออกแถลงการณ์ หัวข้อ “ผลกระทบจากนโยบายของเมียนมาเกี่ยวกับการบังคับส่งเงิน การเก็บภาษีซ้ำซ้อน และการเกณฑ์ทหารของผู้ย้ายถิ่น” โดยมีข้อเสนอถึงประเทศปลายทางที่ชาวเมียนมาอาศัยปกป้องสิทธิทางด้านการเงิน ภาษี บังคับเกณฑ์ทหารและสถานะทางกฎหมาย โดยมีเนื้อหาในแถลงการณ์ดังนี้

ในฐานะเครือข่ายระดับอนุภูมิภาคขององค์กรภาคประชาสังคม เครือข่ายการย้ายถิ่นในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (MMN) มีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมายและนโยบายล่าสุดของเมียนมาที่มีการบังคับให้พลเมืองต้องส่งเงินกลับบ้าน จ่ายภาษีซ้ำซ้อน และการเกณฑ์ทหารเพื่อเข้าร่วมกองทัพ มาตรการที่เหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหล่านี้ประกาศใช้โดยรัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรีดไถส่วนต่างของอัตราเงินต่างประเทศจากแรงงานข้ามชาติจำนวนมากซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันก็บีบบังคับให้คนหนุ่มสาวเข้าสู่สังเวียนการต่อสู้ในสงครามกลางเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ภายในประเทศ ตามที่อธิบายด้านล่างนี้ MMN เชื่อว่านโยบายเหล่านี้ส่งผลเสียร้ายแรงต่อกระบวนการตัดสินใจย้ายถิ่นของผู้ย้ายถิ่น ซึ่งเป็นการเพิ่มการย้ายถิ่นที่ไม่ปกติ และทำให้จำนวนของผู้ย้ายถิ่นที่ไม่มีเอกสารเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

การบังคับส่งเงินกลับ

นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2566 แรงงานข้ามชาติเมียนมาที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศต้องส่งเงินรายได้อัตราส่วนหนึ่งในสี่ของรายได้ทั้งหมดกลับประเทศโดยต้องโอนเงินผ่านธนาคารที่อยู่ในสังกัดภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางเมียนมา[1] ในขณะเดียวกันมีการปราบปรามการส่งเงินในรูปแบบอื่นๆที่ไม่เป็นทางการอีกด้วย[2] นอกจากนี้ทางการเมียนมายังมีการรวบรวมข้อมูลแรงงานข้ามชาติจากสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาที่อยู่ในเมียนมา[3] ทั้งนี้ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการการส่งเงินดังกล่าวจะไม่ได้รับการอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศเป็นระยะเวลาสามปี [4]

MMN กังวลว่าเมื่อหลักเกณฑ์นี้บังคับใช้กับผู้ย้ายถิ่นที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศแบบถูกกฎหมายเป็นหลัก อาจส่งผลให้เกิดการย้ายถิ่นแบบผิดปกติมากขึ้น โดยหลักการแล้วมาตรการการส่งเงินนี้เป็นมาตรการที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ย้ายถิ่นในการบริหารจัดการรายได้ของตนเองตามที่พวกเขาเห็นสมควร การส่งเงินกลับบ้านถือเป็นเรื่องส่วนตัวและควรเป็นไปตามความสมัครใจ นอกจากนี้ MMN ยังกังวลใจว่าผู้ย้ายถิ่นที่พยายามปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอาจเสี่ยงต่อการละเมิดมาตรการคว่ำบาตร เพราะต้องส่งเงินผ่านธนาคารที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวกเพื่อจัดซื้ออาวุธที่ใช้ในการกระทำทารุณอันโหดร้ายต่อพลเรือน[5] จากประสบการณ์ของ MMN ผู้ย้ายถิ่นไม่ได้มีความไว้วางใจในการส่งเงินผ่านระบบธนาคารของเมียนมา เนื่องจากค่าธรรมเนียมสูงและอัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าที่มีอยู่ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด ตัวแทนจากสมาคมแรงงานยอง ชิ อู (Yaung Chi Oo Workers Association, YCOWA) หนึ่งในองค์กรสมาชิกของ MMN ที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยกล่าวแสดงความรู้สึกว่า:

“แรงงานข้ามชาติรู้สึกว่าพวกเขากำลังถูกหลอกใช้ โดยรัฐบาลเผด็จการทหาร และเงินที่พวกเขาส่งกลับไปจะถูกนำไปซื้ออาวุธเพื่อสังหารคนในครอบครัวของพวกเขาเอง”

การเก็บภาษีซ้ำซ้อน

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 รัฐบาลทหารได้แก้ไขกฎหมายภาษีของสหภาพเพื่อให้ชาวเมียนมาในต่างประเทศต้องจ่ายภาษีเงินได้สำหรับผู้มีรายได้จากต่างประเทศ ภายใต้การแก้ไขดังกล่าว กฎหมายภายในประเทศว่าด้วยการห้ามจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนได้ถูกยกเลิก[6] และมีการปรับเพดานภาษีเงินได้จากรายได้ต่างประเทศ [7] สำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายภาษีดังกล่าว รัฐบาลทหารจะทำการระงับการออกหนังสือเดินทางและหนังสือรับรองประจำตัวต่างๆ รวมถึงการลงโทษอื่นๆ เช่น การเพิกถอนหนังสือเดินทาง การห้ามเดินทาง หรือการดำเนินคดีทางแพ่งหรืออาญา ดังนั้นพลเมืองเมียนมาที่ประสงค์จะต่ออายุหนังสือเดินทางในต่างประเทศจะต้องชำระภาษีคงค้างทั้งหมดให้กับสถานทูตหรือสถานกงสุลโดยตรงเป็นเงินก้อนจึงจะสามารถดำเนินการยื่นคำร้องต่างๆได้[8]

ตัวแทนจากมูลนิธิรักษ์ไทย หนึ่งในองค์กรสมาชิกของ MMN ให้ความเห็นว่าแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยกลัวว่าภาษีใหม่จะนำมาซึ่งความแตกแยกระหว่างแรงงานข้ามชาติในชุมชน :

“แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาหลายคนกังวลว่า หากแรงงานข้ามชาติคนอื่นรู้ว่าพวกเขาจ่ายภาษี พวกเขาจะถูกกีดกันและถูกกล่าวหาจากคนในชุมชนว่าสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารที่ลงมือเข่นฆ่าพลเรือนทุกวัน”

สมาชิก MMN ยังมีความกังวลว่าสถานะการเข้าเมืองและอยู่อาศัยของแรงงานข้ามชาติที่ไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะจ่ายภาษีเงินจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากพวกเขาจะไม่สามารถต่อวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน หากหนังสือเดินทางของพวกเขาถูกเพิกถอนหรือไม่ได้รับการต่ออายุ ผลที่ตามมาคือผู้ย้ายถิ่นจำนวนมากเสี่ยงต่อการกลายเป็นแรงงานไร้เอกสาร เพิ่มโอกาสที่จะถูกแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดแรงงานมากขึ้น การบังคับใช้กฎหมายเก็บภาษีซ้ำซ้อนและมาตการบังคับการส่งเงินจะทำให้แรงงานข้ามชาติยากจนลง เพิ่มความรู้สึกกดดันให้กับผู้ย้ายถิ่นจากประเทศเมียนมาที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างที่ตัวแทนองค์กรสมาชิก MMN จาก YCOWA ได้อธิบายว่า:

“เหล่านายจ้างกำลังฉกฉวยประโยชน์จากปริมาณแรงงานข้ามชาติที่เกินความต้องการและแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงาน ตัวอย่างเช่น โรงงานทอผ้าในแม่สอดได้เพิ่มโควตาการทำงานของแรงงานในแต่ละวัน แรงงานคนไหนที่ไม่สามารถทำตามโควตาก็จะถูกไล่ออก”

ตัวแทนจากมูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ (MAP Foundation) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า:

“มันไม่ใช่แค่การจ่ายภาษีหรือการถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆในการรักษาสถานะเอกสารประจำตัวของผู้ย้ายถิ่นที่ทำให้ผู้ย้ายถิ่นเป็นกังวล แต่ผู้ย้ายถิ่นต้องติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุล และให้ข้อมูลส่วนตัวแก่หน่วยงานปกครองที่พวกเขาไม่ไว้วางใจ เป็นอีกหนึ่งในอุปสรรคในการรักษาสถานะทางกฎหมายของพวกเขาเอาไว้”

การเกณฑ์ทหาร

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 กฎหมายการรับราชการทหารของเมียนมามีผลใช้บังคับ กฎหมายนี้เดิมประกาศใช้ในปี 2010 ระบุว่าผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 35 ปี และผู้หญิงอายุระหว่าง 18 ถึง 27 ปี ต้องเข้ารับการฝึกทหารและรับราชการในกองทัพเป็นเวลาไม่เกิน 24 เดือน[9] แต่ในกฎหมายฉบับนี้ได้ขยายช่วงอายุสำหรับผู้ชายสูงสุดถึง   45 ปี และสูงสุด 35 ปีสำหรับผู้หญิงที่เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งได้แก่ แพทย์ วิศวกร ช่างเทคนิค หรือเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพนั้นๆ [10] สามารถรับราชการทหารไม่เกิน 36 เดือน[11] ทั้งนี้สามารถขยายระยะเวลาเข้ารับราชการทหารได้ สูงสุดถึง 5 ปี หากประเทศยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน[12] นอกจากนี้ภายใต้ภาวะฉุกเฉินของประเทศ ผู้ที่ผ่านการรับราชการทหารแล้วสามารถถูกเรียกระดมพลได้ทุกเมื่อ [13]  อย่างไรก็ตามรัฐบาลทหารได้ขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ยึดอำนาจในปี 2564[14]และมีแนวโน้มว่าจะยังคงบังคับใช้ต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง

ในขณะจัดเตรียมแถลงการณ์ฉบับนี้มีรายงานว่าทางการเมียนมาได้เริ่มนำส่งออกหมายเรียกเกณฑ์ทหารแล้วดังที่ตัวแทนจากมูลนิธิ EMPOWER อีกหนึ่งองค์กรสมาชิกของ MMN อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการเกณฑ์ทหารในระดับหมู่บ้านว่า:

“เรา (ชาวบ้าน) ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่บ้านว่าจะมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามารวบรวมรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติ จากนั้นจะมีการจับสลากใครที่ได้รับเลือกก็จะต้องเข้าร่วมกองทัพ”

การบังคับใช้กฎหมายการรับราชการทหารได้เพิ่มอัตราการย้ายถิ่นแบบผสมผสานจากเมียนมา[15] เพราะนับตั้งแต่มีการประกาศระดมพลมีแนวโน้มที่คนหนุ่มสาวจะข้ามชายแดนเข้ามายังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ในขณะที่จำนวนคิวของผู้ขอวีซ่า ณ เอกอัครราชทูตไทยในย่างกุ้งยาวขึ้นกว่าปกติ นอกจากนี้ยังเกิดอุบัติเหตุการเหยียบกันจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ณ สำนักงานหนังสือเดินทางในเมืองมัณฑะเลย์และย่างกุ้ง [16] ในขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยมหาวิทยาสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่ ประกาศงดรับสมัครนักศึกษาชาวเมียนมาเนื่องจากมีผู้สมัครจำนวนมากเกินไป[17]

ตัวแทนจากมูลนิธิ EMPOWER กล่าวถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่คนหนุ่มสาวเมียนมาเผชิญว่า:

“รัฐบาลทหารบีบพวกเขาให้จนมุม พวกเขาเผชิญกับทางเลือกที่น่ากลัว เพราะจะหนีก็เสี่ยงตายหรือไม่หนีก็ตายอยู่ดี”

ตัวแทนจากมูลนิธิ MAP ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า:

“มีคนหนุ่มสาวจำนวนเพิ่มมากขึ้นที่ต้องตกอยู่ภายใต้สภาวะที่สิ้นหวังและต้องเผชิญอันตรายเพื่อหลบหนีคำสั่งการเกณฑ์ทหาร เช่น  เมื่อสัปดาห์ก่อนในจังหวัดเชียงใหม่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับหนุ่มสาวหกคนที่หลบหนีมาจากประเทศเมียนมา เคราะห์ร้ายมีผู้เสียชีวิต 2 รายและคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บสาหัส”

ตัวแทนจากมูลนิธิรักษ์ไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า:

“เราได้รับเคสหลายเคสจากผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกข่มขืนระหว่างเดินทางมาประเทศไทย เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเราที่จะให้ช่วยเหลือในกรณีเหล่านี้ เนื่องจากผู้เสียหายเข้ามาผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการและไม่มีเอกสารประจำตัว”

MMN กังวลว่าแม้ตัวผู้ย้ายถิ่นจะอยู่ในต่างประเทศ แต่พวกเขายังคงเสี่ยงต่อการถูกเกณฑ์ทหาร เนื่องจากกฎหมายการรับราชการทหารระบุว่า “หากไม่พบบุคคลนี้ ให้ส่งมอบ (หมายเรียกเข้ารับราชการทหาร) ให้กับสมาชิกในครอบครัวที่อาศัยอยู่ด้วยกันต่อหน้าพยาน คำสั่งให้ปฏิบัติเสมือนเป็นการส่งโดยตรงไปยังผู้ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร” การเกณฑ์ทหารนี้จะทำให้ผู้ย้ายถิ่นลดการติดต่อกับสถานทูตเมียนมาเพื่อต่ออายุหนังสือเดินทาง และเพิ่มโอกาสที่พวกเขากลายเป็นผู้ย้ายถิ่นที่ไร้เอกสารประจำตัว นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มจำนวนการขอลี้ภัยโดยพลเมืองเมียนมาในประเทศปลายทางอีกด้วย ดังที่ตัวแทนจากมูลนิธิ EMPOWER ได้อธิบายว่า :

“ผู้ย้ายถิ่นกังวลเรื่องการหลบหนีคำสั่งเกณฑ์ทหาร เพราะรัฐบาลทหารขู่จะดำเนินคดีทางกฎหมายต่อสมาชิกในครอบครัวโดยมีโทษจำคุกและการริบทรัพย์สิน”

โดยเครือข่ายการย้ายถิ่นในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีข้อเสนอแนะต่อกรณีดังกล่าวดังนี้

1.MMN เรียกร้องให้รัฐบาลและนายจ้างในประเทศปลายทางของผู้ย้ายถิ่นชาวเมียนมาปกป้องสิทธิของแรงงานข้ามชาติในการตัดสินใจเกี่ยวกับการออมและการส่งรายได้ของตนเอง ให้พวกเขามีอิสระในการเลือกธนาคารและช่องทางการโอนเงิน รวมไปถึงจำนวนเงินที่พวกเขาจะออมและส่งกลับบ้าน

2.MMN เรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศปลายทางและอาเซียนใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้ำซ้อนกับแรงงานข้ามชาติ

3.สำหรับผู้มีบทบาทในภาคเอกชน เช่น ธนาคารและบริษัทจัดหางานต่างๆที่อำนวยความสะดวกในการบังคับส่งเงินและนโยบายการเก็บภาษีซ้ำซ้อนตามที่อธิบายไว้ข้างต้น MMN เรียกร้องให้ยุติความร่วมมือกับรัฐบาลเผด็จการทหารของเมียนมาและตัวแทนต่างๆที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลทหาร

4.เนื่องจากความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลทหารในการปกครองประเทศและบังคับคนหนุ่มสาวเข้ารับราชการทหาร อาจจะทำให้ผู้ย้ายถิ่นรายใหม่จากเมียนมาเข้าสู่การบังคับใช้แรงงานที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้นเราจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านใช้การตอบสนองด้านมนุษยธรรมต่อผู้ย้ายถิ่นรายใหม่ทุกกรณี

5.เราขอเรียกร้องให้ประเทศปลายทางทำทุกวิถีทางเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำให้ผู้ย้ายถิ่นชาวเมียนมาที่เพิ่งเข้ามามีสถานะถูกต้องตามกฎหมาย และทำการปรับเปลี่ยนกระบวนการในการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ย้ายถิ่นจะไม่กลายเป็นบุคคลไร้เอกสาร นอกจากนี้เรายังต้องการเรียกร้องให้ประเทศปลายทางปรับปรุงการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพและการศึกษาแก่ผู้ย้ายถิ่นทุกคน

พื้นที่สื่อสาร สังคมประชาธิปไตย ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

Lanner Editor
Lanner Editor
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ปมดับปริศนา ‘พลทหารราเชน ยวามื่อ’ ในค่ายพิษณุโลก คนใกล้ชิดตั้งข้อสงสัย หลังเกิดเหตุไฟดับ–กล้องเสีย

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross-Cultural Foundation) เปิดเผยว่าได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารราเชน...

กลุ่มรักษ์เชียงของยื่นฟ้องนายกฯ–กฟผ. ปมเขื่อนปากแบง หวั่นแม่น้ำโขงกลายเป็น ‘อ่างตะกอนพิษ’

12 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มรักษ์เชียงของ พร้อมประชาชน นักวิชาการ และทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ฟ้องนายกรัฐมนตรี...

ทหารเกณฑ์ดับในค่ายพิษณุโลก มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจี้สอบเหตุละเมิดสิทธิ

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารเกณฑ์รายหนึ่งเสียชีวิตภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก หลังเข้ารับการฝึกเพียงไม่ถึง 10...

เครือข่าย กก สาย รวก โขง ยื่น 5 ข้อ แก้ปัญหาน้ำปนสารพิษ ด้านรัฐบาลยืนยันยุติโครงการฝาย

ภาพ: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต 11 พฤศจิกายน 2568 ที่หอประชุมคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย  การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300...