ยังมีจิตใจจะใฝ่ฝัน: “นิรโทษกรรมประชาชน” โจทย์คือสร้างแรงกดดันว่าประเทศไม่สามารถไปต่อได้

Date:

3 กุมภาพันธ์ 2567 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross Cultural Foundation: CrCF) ได้จัดกิจกรรม “ยังมีจิตใจจะใฝ่ฝัน: สู่แสนรายชื่อนิรโทษกรรมประชาชน” ณ สวนอัญญา เฮือนครูองุ่น มาลิก : หอประวัติศาสตร์ประชาชนภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 17.00 เป็นต้นไป

ภายในงานได้มีการพูดคุยถึง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน และการนิรโทษกรรม ในหัวข้อ “นิรโทษกรรม ยุติคดีการเมือง เพราะอะไร ทำได้หรือไม่” ผ่านหลายมุมมอง ร่วมพูดคุยโดย นพพล อาชามาส ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, พุธิตา ชัยอนันต์ สส.เชียงใหม่ เขต 4 พรรคก้าวไกล, สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วัชรภัทร ธรรมจักร และ ศิวัญชลี วิธญเสรีวัฒน์ สองนักกิจกรรมที่ได้รับผลกระทบจากคดีทางการเมือง ดำเนินรายการโดย ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

1,900 คดีสูงสุดในประวัติศาสตร์?

นพพล อาชามาส ได้กล่าวถึงที่มาและความสำคัญ รวมถึงเนื้อหาว่า ตั้งแต่หลังการรัฐประหารปี พ.ศ. 2557 มีคนถูกดำเนินคดีในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งคดีเกี่ยวกับการชุมนุม ต่อต้านคสช. รวมทั้ง ม.112 และ ม.116 อย่างต่อเนื่องจนในปี พ.ศ. 2563 พบว่าตัวเลขคดีทางการเมืองสูงสุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมากถึง 1,900 คดี และยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่คดีเหล่านี้ยังสืบเนื่องมาถึงปีปัจจุบันนี้ รวมถึงปัญหาต่าง ๆ จากการดำเนินคดีด้วย เช่น สิทธิการประกันตัว ทำให้จำเป็นต้องคิดถึงการแก้ปัญหาใหญ่ที่มากกว่าการต่อสู้เพียงรายคดี นำไปสู่การผลักดันหรือการยุติคดีทั้งหมด ทั้งที่ยังดำเนินอยู่ให้มีกทรสั่งไม่ฟ้อง ถอนฟ้อง รวมถึงคดีที่ได้รับโทษจำคุกอยู่ให้มีการลดโทษหรือยกเว้นความผิดให้ผู้ต้องขังได้รับการปล่อยตัว

“ความขัดแย้งทางการเมืองมีการดำรงอยู่ยืดเยื้อยาวนาน การเริ่มต้นเพื่อจัดการความขัดแย้งอาจจะต้องเริ่มโดยการยุติหรือนิรโทษกรรมคดีทั้งหมด เป็นก้าวแรกเพื่อจัดการความขัดแย้งที่ดำรงมานานกว่า 20 ปี นำไปสู่การออกแบบร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน ที่มีการกำหนดประเภทคดีที่จะนิรโทษกรรมทันทีโดยไม่ต้องมีการพิจารณา เช่น ความผิดที่เกี่ยวข้องกับประกาศของคสช. ที่นำประชาชนขึ้นศาลทหารอันเป็นการผิดหลักการเนื่องจากไม่ควรใช้กับพลเรือน ความผิดข้อหาม.112 เนื่องจากลักษณะการใช้กฎหมายที่มีปัญหา รวมไปถึงความผิดเนื่องมาจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมไปประชาชนที่ออกมารณรงค์ไม่ให้รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560”

สภาต้องคุยได้ ไม่ปิดกั้น ให้ความสำคัญที่เจตนารมณ์ในการนิรโทษกรรมเป็นหลัก

สำหรับร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับพรรคก้าวไกล พุธิตา ชัยอนันต์ ได้ให้ข้อมูลว่า ร่างนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำความผิดเพื่อการนิรโทษกรรม โดยประกอบไปด้วย 9 คน คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้าน บุคคลที่ได้รับเลือกจากคณะรัฐมนตรี ผู้พิพากษาหรืออดีตผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ศาลปกครอง อัยการหรืออดีตอัยการ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อย่างละ 1 คนและบุคคลที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือก 2 คน

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่มีการยื่นญัตติของการพิจารณาขอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรศึกษาพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม สาระสำคัญที่ได้อภิปรายคือ เรื่องอย่ารีบปิดประตูม.112

“ตอนนี้ทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมือง รวมถึงประชาชนมีความต้องการให้การนิรโทษกรรมเกิดขึ้น เพียงแต่มีความแตกต่างในรายละเอียด เช่น การครอบคลุมคดีม.112 หรือไม่ คลอบคลุมผู้สั่งการสลายการชุมนุมเกินกว่าเหตุด้วยหรือไม่ ซึ่งควรต้องมีการพูดคุยและเปลี่ยนกันในสภาฯ ไม่ควรมีการพยายามปิดกั้นการร่างกฎหมายนิรโทษกรรม โดยเฉพาะในม.112 ในที่ร่างบางฉบับมีการระบุยกเว้นไว้ชัดเจน ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ ควรพิจารณากฎหมายแต่ละฉบับโดยให้ความสำคัญไปที่เจตนารมณ์ในการนิรโทษกรรมเป็นหลัก”

โจทย์ที่ต้องทำคือสร้างแรงกดดันว่าประเทศไม่สามารถไปต่อได้

สมชาย ปรีชาศิลปกุล ได้อธิบายภาพรวมทั้งในแง่ของกลไกของคำว่านิรโทษกรรม​ในเชิงความหมายและกระบวนการ โดยระบุว่า “ความหมายทั่วไปแบบกว้างของคำว่า ‘นิรโทษกรรม’ หลักการโดยทั่วไปคือเมื่อทำผิดก็ต้องได้รับโทษ แต่ในบางเหตุการณ์​ บางสถานการณ์​ก็มีข้อยกเว้นให้ได้ว่า เราไม่เอาโทษ ไม่เอาผิด อันมีเหตุผลมาจากเรื่องทางการเมืองหรือสังคมก็ตาม ส่วนอภัยโทษจะมาจากประมุขของรัฐ โดยจะมุ่งกลุ่มเฉพาะเจาะจง​ ซึ่งให้ผลในลักษณะที่โทษยังมีอยู่แต่ได้รับการลดโทษ แต่นิรโทษกรรม​หมายความ​ว่า มันเหมือนไม่มีการกระทำนั้นเกิดขึ้น เป็นการยกเว้นกฎหมาย​หรือมาตราการในภาวะปกติ โดยทั่วไปจึงเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ​ เพราะเป็นสถาบันที่สัมพันธ์​กับประชาชนมากที่ เนื่องจากเป็นกลุ่มบุคคลซึ่งมาจากการเลือกตั้ง”

กรณีในต่างประเทศ การนิรโทษกรรม​จะทำเมื่อมีสถานการณ์​ความขัดแย้ง​ ที่สังคมเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เช่น สงครามกลางเมือง​ของสหรัฐอเมริกา​ที่มีผู้ร่วมสงคราม​เป็นแสน ๆ ที่ถ้าหากฝ่ายชนะจะต้องเก็บฝ่ายแพ้เข้าคุกก็คงเข้ากันเป็นแสน ซึ่งจะเกิดผลกระทบเชิงลบต่อสังคมเป็นวงกว้าง จึงต้องใช้การนิรโทษกรรม​เพื่อให้สังคมไปต่อได้ โดยอาจให้กลุ่มหัวขบวนรับผิด แล้วละเว้นผู้เข้าร่วม​ไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่สถานการณ์​ของแต่ละประเทศ

ประเด็นต่อมาคือ ‘นิรโทษกรรม​ในประเทศไทย’ ที่ได้เริ่มอธิบายว่าโดยหลักการทางกฎหมายทั่วไปแล้ว ผู้ที่ออกกฎหมาย​ไม่ควรได้รับประโยชน์​จากกฎหมาย​นั้นโดยตรง เพราะอาจถูกโต้แย้งได้ว่าเป็นการออกกฎหมาย​เพื่อตนเอง แล้วเล่าต่อถึงประวัติศาสตร์การออกกฎหมายนิรโทษกรรมในอดีต

“หลังการรัฐประหาร​ปี พ.ศ.2490 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการออกกฎหมาย​นิรโทษกรรม และศาลตีความว่าใช้ได้ ที่ในแง่หนึ่งแล้วมันอาจจะไม่เชิงว่าเป็นความเลวร้าย​ของคนออกเสียทั้งหมด เพราะมันมีระบบที่มารองรับสิ่งนี้ด้วย ซึ่งสำหรับประเทศไทยแล้ว ศาลมีบทบาทสำคัญอย่างมาก และเมื่อครั้งแรกมันทำได้ การรัฐประหาร​ในประเทศ​ไทย​หลังจากนั้นก็เลยมีการออกกฎหมาย​นิรโทษกรรม​กันอย่างต่อเนื่อง ที่อาจมีการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปบ้าง เช่น มาในรูปแบบ​พระราชบัญญัติ​ ที่จริง ๆ แล้วออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของผู้ยึดอำนาจได้อีกที เพื่อกระทำให้ดูถูกต้อง เป็นไปตามครรลองกระบวนการปฏิบัติ และกระบวนการนี้ถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในระบบกฎหมายไทยแล้ว”

ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งของการออกกฎหมาย​นิรโทษกรรม​ คือ ออกเมื่อก่อนจะถึงคราวซวย อย่างกรณีปี พ.ศ. 2519 ที่หลังการรัฐประหาร​มีการจับกุมกลุ่มผู้ต่อต้านไปขึ้นศาลกันสนั่นหวั่นไหว ที่ยิ่งพอสืบหาข้อเท็จจริงไปเรื่อย ๆ ข่าวก็เริ่มถูกนำเสนอออกมา ทั้งสื่อใหญ่ สื่อต่างประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่ยิ่งเริ่มเห็นว่าเหตุการณ์​นั้นแท้จริงแล้วคือ เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรง​กับประชาชนจนถึงการนองเลือด ในที่สุดจึงออกกฎหมาย​นิรโทษกรรม​ เพื่อยุติการดำเนินคดีกลุ่มผู้ต่อต้าน ที่นอกจากจะมีข้อโต้แย้งที่อาจจะเอาผิดไม่ได้แล้ว ยังอาจกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่จะส่งผลเสียกับผู้ครองอำนาจเอง

การออกกฎหมายนิรโทษกรรมในปี พ.ศ. 2521 ที่ใช้สำหรับเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มีเนื้อหาระบุว่า “ถ้าจะต้องดำเนินคดีต่อไป จนเสร็จสิ้นก็จะทำให้จำเลย ซึ่งส่วนใหญ่ในที่นี้คือนักศึกษา ต้องเสียอนาคตในการศึกษา และการประกอบอาชีพยิ่งขึ้น เมื่อคำนึงถึงว่าการชุมนุมดังกล่าวก็ดี การกระทำอันเป็นความผิดทั้งหลายทั้งปวงก็ดี เกิดจากความไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่แท้จริงเพราะเหตุแห่งความเยาว์วัยและขาดประสบการณ์ของผู้กระทำผิด ประกอบกับรัฐบาลนี้ (รัฐบาลปี พ.ศ. 2521)​ นี้มีความประสงค์อย่างแน่วแน่ที่จะให้เกิดความสามัคคีระหว่างชนในชาติจึงเป็นการสมควรให้อภัยการกระทำดังกล่าวนั้น” ซึ่งข้อความดังกล่าวถูกมองว่าสุดท้ายแล้วคือการโยนความผิดให้กับกลุ่มนักศึกษาในเหตุการณ์นั้น โดยนำเพียงเหตุแห่งอายุมาเป็นเหตุผล และหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ต่อประชาชน

“อีกครั้งหนึ่งที่มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่เป็นบทเรียนคือปี พ.ศ. 2535 ที่แม้มีกระแสการประณามและการเรียกร้องให้ลงโทษผู้กระทำความรุนแรงต่อประชาชน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พลเอกสุจินดา คราประยูร ออกพระราชกำหนด​นิรโทษกรรม​ก่อนลาออกจากตำแหน่งนายกฯ 1 วัน หรือก็คือออกกฎหมายวันนี้แล้วพรุ่งนี้ลาออก ซึ่งหลักการทางกฎหมาย​สำหรับพระราชกำหนด​คือ จะต้องเข้าสู่สภาฯ เพื่อพิจารณา​ว่าผ่านหรือไม่ ซึ่งหากไม่ผ่านแปลว่ากฎหมายตกไป แม้จะมีการต่อสู้เพื่อยับยั้งความชอบของกฎหมายนี้ถึง 3 ศาล ทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุธรณ์​ และศาลฎีกา​ แต่ในท้ายที่สุดศาลฎีกา​บอกว่า ต่อให้พระราชกำหนด​จะตกไปในชั้นสภาฯ แต่เมื่อมีการประกาศใช้พระราชกำหนด​ถือว่ามีผลทันที นี่จึงเป็นการซ้ำเติมว่าการใช้อำนาจรัฐเพื่อยกเว้นโทษให้กับตนเองแม้จะไม่ชอบธรรมแต่มันสามารถทำได้ สิ่งที่เห็นในการนิรโทษกรรม​ในประเทศไทยมันคือวัฒนธรรมยกโทษให้กับคณะรัฐประหาร​และผู้ที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน แต่สำหรับการนิรโทษกรรม​ประชาชนนั้นยังไม่เคยเกิดขึ้น”

นิรโทษกรรม​ในสถานการณ์​ปัจจุบัน สมชายมองว่า คงไม่สามารถแยกออกจากสถานการณ์​ทางการเมืองได้ โดยมีอยู่อย่างน้อยสามประเด็นคือ ม.112 ร่างรัฐธรรมนูญ​ฉบับใหม่ และการนิรโทษกรรม​ อันเป็นปมของความขัดแย้งที่เป็นอยู่ ที่หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็อาจเป็นสัญญาณอันบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์​หรือสภาพสังคมแบบเดิมที่ผ่านมานั้นไม่เป็นที่ยอมรับ​ของคนในสังคมแล้ว จึงอาจเห็นได้ว่ามีเครือข่ายของชนชั้นนำที่ทำหน้าที่​ปกป้อง ป้องกันไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลง​ขึ้น ทำให้ไม่เพียงเฉพาะกฎหมาย​นิรโทษกรรม​ประชาชน แต่ทั้งประเด็นม.112 และการร่างรัฐธรรมนูญ​ฉบับ​ใหม่​ก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันคือถูกกีดกัน เช่น กรณีศาลรัฐธรรมนูญ​วินิจฉัยว่า พรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครอง​ เหตุเสนอแก้ไขม.112 ที่เป็นหนึ่งในสามประเด็นหลักที่เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าเครือข่ายชนชั้นนำมีอำนาจกำกับความเปลี่ยนแปลง​ว่าจะให้สังคมเป็นไปในทิศทาง​ใด

“การให้เปิดให้มีกลไกระบบรัฐสภา​ องค์กร​อิสระ​ เป็นเพียงการทำพอให้เห็นว่ามีช่องว่างเปิดให้แก้ไขอะไรได้บ้าง เพื่อดึงให้คนที่ต้องการเปลี่ยนแปลง​เข้ามาใช้ระบบรัฐสภา​ ที่มันควบคุมได้ง่ายกว่าการปิดไม่ให้เข้าสู่ระบบรัฐสภา​ เพราะถ้าปิดช่องทางนี้ นั่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้ การพยายามเปลี่ยนแปลง​ของผู้คนจากนอกระบบมันอาจทำให้เครือข่ายชนชั้นนำควบคุมได้ยากกว่า แต่สุดท้ายแล้วการกีดกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง​ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิรโทษกรรม​ประชาชน ม.112 และรัฐธรรมนูญ​ฉบับ​ใหม่​มีเป็นประเด็นของสังคมในปัจจุ​บัน​นี้ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ มันจะเป็นการสั่งสมความไม่พอใจที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคมมากกว่าเดิม”

สมชายกล่าวต่อว่า คดีที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากขณะนี้เป็นการสร้างภาระให้สังคม รวมไปถึงกระบวนการ​ยุติธรรม​ แต่ทั้งหมดมันอยู่ภายใต้ความคาดหวังให้เกิดขึ้นจากฟากฝั่งเครือข่ายชนชั้นนำที่อยู่ในฐานะรัฐ ที่พบวิธีการที่จะจัดการกับการชุมนุมของประชาชน โดยปล่อยให้ประชาชนชุมนุมได้ แล้วภายหลังค่อยแจกคดี แจ้งความให้ขึ้นโรงขึ้นศาล ทำให้ในช่วงหลังมานี้ จะเห็นว่านักกิจกรรม​ที่ร่วมชุมนุมบ่อยครั้ง จะมีคดีจากการชุมนุมคนละมากกว่า 1 ไปจนถึง 10 คดี

การพยายามผลักให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่นการนิรโทษกรรม​ประชาชน ที่ทำกำลังร่วมกันทำอยู่นี้ สมชายเสนอความเห็นว่า อีกโจทย์หนึ่งที่ต้องช่วยกันทำคือการสร้างแรงกดดัน และแสดงให้เห็นว่าประเทศไม่สามารถไปต่อได้ อย่างในขณะนี้ที่รัฐบาลไทยพยายามเสนอตัวเพื่อเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม 2567 นี้ ทั้งที่ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาสิทธิ​มนุษยชน​ของประชาชนในประเทศ เช่นนี้แล้ว ประเทศไทยคงไม่สามารถก้าวไปเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรสิทธิมนุษยชน​ระดับนานาชาติได้อย่างสมเกียรติ​ และควรต้องกลับมาพิจารณาว่าการผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม​ประชาชน​นั้นเป็นสิ่งที่พึงกระทำเพื่อไม่ให้เป็นการพยายามขัดขวางการปรองดองทางการเมือง และเพื่อให้สังคมและประเทศเดินหน้าต่อไปได้

หัวใจของเราเสรี

วัชรภัทร ธรรมจักร และ ศิววัญชลี วิธญเสรีวัฒน์ สองผู้ได้รับผลกระทบจากคดีทางการเมือง ได้ให้ความเห็นว่า ความคาดหวังของประชาชนที่ออกมาชุมนุม เขามาด้วยเจตจำนงเสรีที่มีอยู่แล้ว แต่เป็นรัฐเองที่เลือกกระทำวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะขัดขวางโดยนิติสงคราม ตลอดจนคุกคามติดตามถึงบ้าน การดำเนินกระบวนการทางกฎหมายมันสร้างความซับซ้อน สร้างภาระทั้งทรัพยากร เวลา โอกาสชีวิตของผู้ได้รับผลกระทบ

“เริ่มจากมีหมาย ต่อมาก็ต้องเสียเวลาทั้งวันไปกับการสอบปากคำ ที่พอเป็นคดีทางการเมืองก็โหมกันเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ ปิดโรงพัก ล้อมรั้ว ใช้กองกำลังตำรวจในการปิดล้อม สร้างภาพให้เราเหมือนเป็นอาชญากร ทั้งที่เราไปใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในสิ่งที่เราสามารถทำได้”

ทั้งนี้ศิววัญชลี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมมันอาจลบล้างได้เพียงความผิดทางนัยยะกฎหมาย ไม่สามารถลบล้างบาดแผลที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่รัฐ

“หากพ.ร.บ.นิรโทษรกรรมนี้จะสามารถวางรากฐานสังคมไทยไปในอนาคตได้ เราจะเห็นด้วยในทิศทางไหน ถ้าไม่เห็นด้วยจะมีเหตุผลอย่างไรบ้าง  หากเราพบว่ากลับมีรายละเอียดที่ยังไม่ได้เป็นการนิรโทษกรรมประชาชนอย่างแท้จริงตามตั้งใจ วันหนึ่งวันใดวันนั้นเราก็ต้องออกมาต่อต้านมันหรือไม่”

โดยศิววัญชลีได้เน้นย้ำว่านอกจากการนิรโทษกรรมประชาชนแล้ว สิ่งสำคัญที่รัฐควรทำคือการขอโทษ ไม่ควรมีเพียงพ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างเดียว ความผิดของรัฐนรี้จะต้องถูกบันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งรัฐเคยทำผิดกับประชาชน

พื้นที่สื่อสาร สังคมประชาธิปไตย ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

Lanner Editor
Lanner Editor
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ปมดับปริศนา ‘พลทหารราเชน ยวามื่อ’ ในค่ายพิษณุโลก คนใกล้ชิดตั้งข้อสงสัย หลังเกิดเหตุไฟดับ–กล้องเสีย

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross-Cultural Foundation) เปิดเผยว่าได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารราเชน...

กลุ่มรักษ์เชียงของยื่นฟ้องนายกฯ–กฟผ. ปมเขื่อนปากแบง หวั่นแม่น้ำโขงกลายเป็น ‘อ่างตะกอนพิษ’

12 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มรักษ์เชียงของ พร้อมประชาชน นักวิชาการ และทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ฟ้องนายกรัฐมนตรี...

ทหารเกณฑ์ดับในค่ายพิษณุโลก มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจี้สอบเหตุละเมิดสิทธิ

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารเกณฑ์รายหนึ่งเสียชีวิตภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก หลังเข้ารับการฝึกเพียงไม่ถึง 10...

เครือข่าย กก สาย รวก โขง ยื่น 5 ข้อ แก้ปัญหาน้ำปนสารพิษ ด้านรัฐบาลยืนยันยุติโครงการฝาย

ภาพ: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต 11 พฤศจิกายน 2568 ที่หอประชุมคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย  การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300...