เมษายน 19, 2024

    ‘MOVE’ ชวนถกทำความเข้าใจฐานข้อมูลความรุนแรงในภาคเหนือ

    Share

    ภาพ : ปรัชญา ไชยแก้ว

    วันที่ 1 มีนาคม 2566  โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย ร่วมกับ คณะรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดวงเสวนาในหัวข้อ ‘ทำความเข้าใจฐานข้อมูลความรุนแรง ในบริบทภาคเหนือ’ ณ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เวลา 9.00 – 11.00 น. โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิจัยหัวหน้าโครงการ Monitoring Center on Organized Violence Events (MOVE) สถาบันเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.ไชยันต์ รัชชกูล คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ดร.นิชานท์ สิงหาพุทธางกูร สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.นรุตม์ เจริญศรี คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


    Monitoring Center on Organized Violence Events ‘MOVE’

    จันจิรา ได้นำเสนอฐานข้อมูลความรุนแรงในประเทศไทย ภายใต้โครงการ Monitoring Center on Organized Violence Events (MOVE) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลบนเว็บไซต์ที่มีแหล่งข้อมูลจากสื่อระดับประเทศ 5 สำนัก  โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลที่นำเสนอถึงนิยามของแนวคิดความรุนแรงแบบสุดโต่ง ความรุนแรงในประเทศไทยทั้ง 13 ประเภท และการรับมือกับความรุนแรงแบบสุดโต่งที่ระบาดไปทั่ว จากการสำรวจได้มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ความรุนแรงแบบเฉพาะที่พบมีอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่ ความรุนแรงที่ก่อให้เกิดเหตุที่นำไปสู่การเสียชีวิต และความรุนแรงที่มาจากการวางแผนมาก่อน 

    โดยศูนย์ติดตามข้อมูลเหตุรุนแรงในประเทศไทยหรือ MOVE นั้น เป็นโครงการที่รวบรวมข้อมูลของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตั้งแต่ในช่วงปี 2559 – 2564 โดยจะแบ่งเหตุการณ์ความรุนแรงออกเป็น 13 ประเภท ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลเชิงสถิติของแต่ละพื้นที่จังหวัด

    จันจิราได้เสริมอีกว่า “อาชญากรรมเชิงกลุ่มที่พบมากที่สุดคือ การปกป้องศักดิ์ศรี ซึ่งพบมากในเพศชาย โดยมีปัจจัยคือ ผู้ชายสามารถใช้ความรุนแรงได้ และเป็นการใช้ความรุนแรงที่รวดเร็ว นอกจากนี้ในประเด็นอาชญากรรมเชิงกลุ่มยังค้นพบอีกว่า ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่โล่ง ดังนั้นทำให้ได้ข้อสรุปว่า ประเด็นความปลอดภัยสาธารณะควรมีการให้ความสำคัญมากกว่านี้”


    ความสัมพันธ์ของความรุนแรง

    ไชยันต์ รัชชกูล เสนอว่าในแง่ของสันติศึกษานั้นความสำคัญคือ ต้องมีการตั้งคำถามถึงนิยามของความสงบสุขก่อน ไชยันต์ได้หยิบยกคำกล่าวของ Adam Curle ว่านิยามของความรุนแรงต้องดูถึงความสัมพันธ์ โดยมีลักษณะว่าเป็นความสัมพันธ์ที่รุนแรงต่อความสัมพันธ์ที่ไม่รุนแรงหรือไม่ แต่ในทุกความสัมพันธ์นั้นไม่ได้ปรากฎบนหน้าหนังสือพิมพ์เสมอไป ทำให้ไม่ควรที่จะนำเข้าข้อมูลจากบนหน้าข่าวเท่านั้น ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ วิธีการวิจัยและศึกษาบริบทบนพื้นที่ที่เกิดความรุนแรงขึ้น

    นิชานท์ สิงหาพุทธางกูร ได้เสนอว่าพื้นที่ของสันติศึกษาจะมีที่ยืนมากขึ้น หากมีความเข้าใจในความหมายของสันติภาพ นิชานท์ได้เสนอว่าสันติภาพคือ ความขัดแย้งสามารถที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ห้ามเกิดเป็นความรุนแรง ซึ่งทำให้การป้องกันความรุนแรงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามยุคสมัย ดังนั้นประเด็นที่น่าสนใจคือ หากความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติ เราจะทำอย่างไรที่จะไม่เกิดความรุนแรงและเวลาที่เกิดความรุนแรงจะทำอย่างไร

    “จากการชุมนุมจะเห็นได้ว่า ในยุคนี้เราได้เห็นถึงการเรียนรู้จากการเคลื่อนไหวทางการเมืองในอดีตที่ก่อให้เกิดความรุนแรงมันเบาลงกว่าในอดีต แต่เราก็ได้มีการจัดการความรุนแรงแค่ในมุมของเราเท่านั้น”


    มองความรุนแรงในพื้นที่ภาคเหนือ

    ไชยันต์ได้เสนอถึงประเด็นความรุนแรงในภาคเหนือว่าความน่าสนใจคือ ความรุนแรงทางวัฒนธรรมในภาคเหนือ เช่น บ่อนไก่ การชนกว่าง การแข่งมวยทางโทรทัศน์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมที่บ่มเพาะความรุนแรง หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิตทางจราจรก็ถือว่าเป็นความสัมพันธ์ที่รุนแรงเช่นกัน มันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์บนท้องถนนที่ไม่รองรับรถมอเตอร์ไซค์ จุดนี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างทางชนชั้น ทำให้ถือว่าเป็นความสัมพันธ์ที่รุนแรง

    ไชยันต์ยังเสนออีกว่าทางเลือกของปัญหาความรุนแรงในภาคเหนือ งานวิจัยในเชิงวิชาการมีอยู่ 4 ประเด็น ได้แก่

    1. ต้องมีการทบทวน concept ในทางทฤษฎีของสันติศึกษาว่า เราจะนิยามความรุนแรงอย่างไร ซึ่งต้องมีงานวิจัยในการรองรับด้วย
    2. ต้องหาทางลดและป้องกันปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง
    3. ต้องมองบริบททางวัฒนธรรมผ่านสายตาความรุนแรง
    4. ต้องหาข้อเท็จจริงส่วนที่ถูกปิดไว้และไม่ได้เปิดเผย

    สุมิตรชัย หัตถสาร ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลเรื่องความรุนแรงนั้นยังไม่ครอบคลุมมากพอ เช่น ชาติพันธุ์ในภาคเหนือที่ได้มีการปะทะกันกับกฎหมายของรัฐอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตัวกฎหมายก็มีความรุนแรงเช่นกัน แต่ความรุนแรงเหล่านี้บนหน้าสื่อนั้นอาจจะพบได้น้อยหรือไม่พบเลย แต่ความเป็นจริงเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา อีกหนึ่งประเด็นคือ ความสัมพันธ์ของอำนาจที่เกิดขึ้น เช่น การอยู่บนพื้นที่รัฐหวงห้ามที่อาจจะนำมาสู่ความรุนแรงที่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอถึงการนำข้อมูลมาจากสื่อระดับประเทศ 5 สำนักว่า สื่อเหล่านี้นำเอาเพียงเหตุการณ์ที่เป็นเชิงปรากฎการณ์มานำเสนอเท่านั้น ซึ่งควรจะมีการมองผ่านสื่ออื่นด้วย เพื่อที่จะเพิ่มมุมมองในการมองความรุนแรง


    นอกจากนี้ ตรัย ชุณห์สุทธิวัตน์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ  สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ร่วมแสดงข้อคิดเห็นว่า จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อปัญหาความมั่นคง และการดูแลรักษา นอกจากนี้ยังพบอีกว่า การปะทะกันที่พบกันที่มากที่สุดในภาคเหนือคือ การปะทะกันกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เนื่องจากความสัมพันธ์ของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนยังไม่ชัดเจนมากพอ จึงต้องมีการนำข้อมูลนี้ไปศึกษาและหาทางเลือก เพื่อที่จะลดปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม

    สำหรับผู้ที่สนใจจะนำข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไปศึกษาหรือใช้ประโยชน์ต่อไป ซึ่งนอกจากข้อมูลในเชิงสถิติแล้วนั้นยังมีบทความเกี่ยวกับความรุนแรงอีกด้วย

    โดยสามารถที่จะเข้าไปใช้งานได้ที่ https://movedata.knowmorenomoreviolence.com/

    Related

    ฝุ่นพิษข้ามแดนในห้วงยามที่ “ทุน” สยายปีก

    เรื่อง: กองบรรณาธิการ การเปลี่ยนเข้าสู่เศรษฐกิจทุนนิยมในนามของเสรีนิยมใหม่ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือการทำให้เอกชนเกิดแรงจูงใจเพื่อจะสามารถเข้าสู่การแข่งขันได้อย่างเสรีโดยปราศจากการผูกขาดโดยรัฐ จนเมื่อมีการเปิดให้ทุนสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี จึงนำไปสู่ปัญหาการย้ายถิ่นฐานของธุรกิจเพื่อหลีกเลี่ยงกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างมหาศาล หนึ่งในปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คือ “ปัญหาหมอกควัน”...

    จากบ่อน้ำบำบัดความกระหายจนถึงดินแดนเสรีภาพทุกตารางนิ้ว: ประชาธิปไตยจะงอกงามอย่างไรในรั้วมหาวิทยาลัยไทย

    เรื่อง: อติรุจ ดือเระ /Activist Journalist “ต่อไปนี้นักศึกษาจะจัดกิจกรรมชุมนุมรวมกลุ่มกัน จะต้องได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยก่อนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขอีกสารพัด นี่หรือมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถาบันทางวิชาการ แม้แต่การรวมตัวยังต้องขออนุญาต...