ช่องว่างการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้สูงอายุ : ตอนที่ 1 เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย สาธารณสุขไทยเตรียมความพร้อมหรือยัง?

Date:

สังคมไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงสำคัญ เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์แล้ว (Complete Aged Society) หรือมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปี มากกว่าร้อยละ 14 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้มีสัดส่วนระหว่างประชากรผู้สูงวัย: ประชากรวัยทำงาน เท่ากับ 1: 1.86 (ข้อมูลปี 2563) คาดการณ์ว่าปี 2573 ประเทศไทยจะเข้าสู่สภาวะสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) คือ กำลังจะมีประชากรสูงวัยมากกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนประชากร  ทำให้มีสัดส่วนระหว่างประชากรผู้สูงวัย : ประชากรวัยทำงาน เพิ่มเป็น 1: 1.48 หรือก็คือจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 25%

พื้นที่ที่มีผู้สูงวัยมากที่สุดในไทยก็คือจังหวัดลำปาง เข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนหน้าภาพรวมของไทยมาหลายปี ปัจจุบันก็ได้เข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดไปแล้ว (โดยมีประชากรสูงวัย ร้อยละ 23.41 ของประชากรทั้งหมด)

สภาวะสังคมสูงวัยนั้นเกิดขึ้นมาแล้วมากมายในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น อิตาลี ฟินแลนด์ เป็นต้น แต่สำหรับประเทศไทยนั้น มีความท้าทายที่แตกต่างออกไป เพราะเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่เข้าสูงสังคมสูงวัยทั้งที่ยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนา มีช่องว่างความเหลื่อมทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจนมหาศาล และช่องว่างดังกล่าวก็ยังคงขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้จึงค่อย ๆ แก่ตัวไปโดยไม่มีเงินเก็บสำหรับใช้ในยามเกษียณที่เพียงพอ หรืออย่างที่กล่าวกันว่า ‘เป็นประเทศที่คนแก่ก่อนรวย’ โดยรายได้ของประชากรตรงกลางตามค่ามัธยฐานอยู่ที่ 6,531 บาทต่อเดือน (ข้อมูลปี 2565) ในขณะที่ประชากร 1% สุดท้ายมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 1,759 บาทต่อเดือน (ข้อมูลปี 2565) และด้วยสัดส่วนกลุ่มคนสูงวัยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ปัญหาการดูแลด้านสุขภาพก็กำลังกลายเป็นเรื่องที่ทวีความสำคัญยิ่งกว่าที่ผ่าน ๆ มา ความรับผิดชอบของสังคมที่มีต่อผู้สูงวัยนั่นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

ปัจจุบันสิทธิการรักษาพยาบาลของคนไทยโดยหลัก ๆ แล้ว มีอยู่ 3 แบบ คือ 1.สวัสดิการข้าราชการ 2.กองทุนประกันสังคม และ 3.โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในบรรดาหลักประกันทั้ง 3 แบบนี้ มีเพียงหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อบัตรทอง-บัตร 30 บาท เท่านั้นที่เป็นแบบถ้วนหน้า และถือได้ว่าเป็นสิทธิที่คนไทยพึงได้รับอย่างเท่าเทียม และทั่วถึง

ทั้งนี้สิทธิบัตรทองสามารถใช้สิทธิได้ ณ โรงพยาบาลที่เจ้าของสิทธิลงทะเบียนไว้ หรือที่ทุกหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ (หน่วยการรักษาพยาบาลที่ให้บริการสิ้นสุดที่บริการผู้ป่วยนอก (OPD) ได้แก่ สถานีอนามัย ศูนย์เทศบาล และศูนย์สุขภาพชุมชน) แต่หากเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือเป็นการเจ็บป่วยกระทันหันด้วยอาการของโรคนั้นครั้งแรก ก็สามารถเข้าใช้สิทธิได้ที่โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง (ซึ่งต้องให้แพทย์พิจารณาว่าเป็นอาการฉุกเฉิน จึงจะสามารถใช้สิทธิได้) แต่ถ้าเป็นการนัดรักษาติดตามอาการต่อเนื่องครั้งต่อไป ก็จะต้องไปตามโรงพยาบาลปฐมภูมิ หรือโรงพยาบาลต้นสังกัดตามที่ลงทะเบียนใช้สิทธิไว้ ทั้งนี้การเลือกโรงพยาบาลหลักยังเป็นฐานข้อมูลเพื่อโครงการส่งเสริม หรือป้องกัน อาทิเช่น การจัดสรรวัคซีนในช่วงโรคระบาดที่ผ่านมา เป็นต้น แล้วหากเจ้าของสิทธิต้องการเปลี่ยนโรงพยาบาลตามสิทธิก็สามารถทำได้ ปีละ 4 ครั้ง ผ่านการติดต่อทางโรงพยาบาล, โทรสายด่วน 1330 หรือทางไลน์ของ สปสช. (Line ID: @nhso) โดยการส่งเอกสารได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน รูปถ่ายคู่บัตรประชาชน และหลักฐานการพักอาศัยปัจจุบัน เช่น บิลค่าน้ำ ค่าไฟ หรือหนังสือรับรองเจ้าของบ้าน เป็นต้น ซึ่งสิทธิจะถูกอนุมัติภายใน 24 ชม.

โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินี้เองที่เป็นโครงการที่ได้รับความชื่นชมในเวทีการประชุมด้านการสาธารณสุขระดับโลก หรือ สมัชชาอนามัยโลกสมัยพิเศษ ที่ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมี ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ชื่นชมว่า งานด้านสาธารณสุขระดับปฐมภูมิของไทยนั้นแข็งแกร่ง และเป็นรากฐานที่ทำให้ไทยสามารถจัดการปัญหาด้านสุขภาพได้ดี

แม้จะเป็นที่ชื่นชมในเวทีโลกถึงเพียงนี้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในด้านคุณภาพและการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของไทยในทุกวันนี้ทำให้เราคนไทยรู้สึกอุ่นใจแล้วแค่ไหนกัน?

ด้วยความสงสัยนี้ ผู้เขียนจึงได้เข้าไปศึกษาและเก็บข้อมูลการรับบริการ เพื่อจะถ่ายทอดเรื่องราวว่าในสภาพความเป็นจริงของการเข้าถึงการรักษาพยาบาลเป็นอย่างไร และสวัสดิการที่ผู้สูงอายุได้รับนั้นเพียงพอหรือไม่ และสุดท้ายนั้นพอจะมีหนทางหรือไม่ ที่สังคมของเราจะเดินหน้าต่อไปโดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะสามารถให้การคุ้มครองดูแลชีวิต พิทักษ์สิทธิ และศักดิ์ศรีขั้นพื้นฐานให้ผู้คนที่ซึ่งทำงานสร้างดอกผลให้กับสังคมนี้มาตลอดชีวิตจนถึงวันเกษียณไปแล้วได้อย่างไร 

การศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนได้เลือกศึกษาจากพื้นที่ซึ่งมีความท้าทายในการเผชิญสภาวะสังคมสูงวัยสูงที่สุดในเวลานี้ คือ จังหวัดลำปาง ซึ่งมีผู้สูงวัยกว่า ร้อยละ 23.41 ของประชากร และเข้าสู่สภาวะสังคมสูงวัยระดับสุดยอดไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นจังหวัดเมืองรองที่ไม่ได้มีรายได้มากมายเหมือนเมืองใหญ่ต่าง ๆ  สภาพของจังหวัดลำปางในเวลานี้จึงอาจเป็นภาพสะท้อนของอนาคตของพื้นที่ส่วนใหญ่อื่น ๆ ทั่วประเทศไทยต่อจากนี้ก็เป็นได้ เราจึงจะเข้าไปสำรวจดูว่าในปัจจุบันพื้นที่จังหวัดลำปางมีสภาพการณ์เป็นอย่างไร แล้วที่ผ่านมาภาครัฐบาลท้องถิ่น และสาธารณสุขในพื้นที่ซึ่งได้เริ่มดำเนินการหาวิธีรับมือกับสภาวะสังคมสูงวัยมาหลายปีแล้ว เขามีปัญหาและวิธีการรับมืออย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการภายในพื้นที่อำเภอเมืองลำปาง และภายนอกเมืองก็ตามนั้นมีความเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร

การสาธารณสุขในเมือง และนอกเมือง ความแตกต่างที่ท้าทาย

จากข้อมูลสํามะโนประชากรและเคหะปี 2553 ระบุว่าจังหวัดลำปาง มีประชากรทั้งสิ้น 743,143 คน ขณะที่เว็บไซต์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า จังหวัดลำปาง มีจำนวนแพทย์อยู่ 410 คน และมีสัดส่วนแพทย์ต่อประชากรที่แพทย์ 1 คน ต่อประชากร 1,766 คน ถือว่าน้อยกว่าสัดส่วนแพทย์ต่อประชากรของทั้งประเทศอยู่เล็กน้อย ที่แพทย์ 1 คนต่อประชากร 1,680 คน ขณะที่สัดส่วนตามมาตรฐานโลกกี่คือ แพทย์ 1 คน ต่อประชากร 600 คน

ในการสำรวจครั้งนี้ ผู้เขียนได้เลือกพื้นที่ของเทศบาลนครลำปางเป็นตัวแทนของความเป็นเมือง และเลือกพื้นที่อำเภอเมืองปานซึ่งอยู่ทางตอนบนของ จ.ลำปาง เป็นตัวแทนของพื้นที่นอกเมือง เนื่องจากเราพบว่า อ.เมืองปานนั้นเป็นพื้นที่ซึ่งประสบปัญหาในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลมากที่สุด เนื่องด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นป่าเขา มีความลาดชัน  มีบางบริเวณที่เข้าถึงได้ยากเป็นพิเศษ เช่น เป็นเส้นทางที่ถนนเป็นพื้นดิน พื้นทราย และจะกลายเป็นพื้นโคลนเวลาฝนตก จึงยากจะให้รถยนต์เข้าไปได้  บางเส้นทางอาจเกิดเหตุดินสไลด์ หรือไฟดับเป็นบางครั้ง  บางพื้นที่ก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต เราได้เข้าไปเก็บข้อมูลเปรียบเทียบลักษณะด้านต่าง ๆ ในทั้ง 2 พื้นที่ ให้เห็นตั้งแต่ตั้งแต่ข้อมูลภาพรวมทั่วไปของผู้สูงวัยในพื้นที่ นโยบายการส่งเสริมดูแลผู้สูงวัย  ความคิดเห็นของผู้ให้บริการทางการแพทย์ และความคิดเห็นของผู้สูงวัยที่มารับบริการนั้น เป็นอย่างไร

Care Giver นักบริบาลจิตอาสา งานหนักค่าตอบแทนต่ำ

จากการสอบถามกลุ่มงานดูแลผู้สูงวัย เทศบาลนครลำปาง ให้ข้อมูลว่า เขตเทศบาลนครลำปางมีจำนวนผู้สูงวัยอยู่ที่ประมาณ 15,000 คน จากประชากรประมาณ 49,000 คน หรือประมาณร้อยละ 30 ในขณะที่จากการเข้าไปสอบถามกับทางสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองปาน ให้ข้อมูลว่า อำเภอเมืองปาน มีประชากรผู้สูงวัย 7,654 คน จากประชากร 32,283 คน คิดเป็นร้อยละ 23.71 แต่จากที่ได้ให้อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ทำการสำรวจแล้ว  ข้อมูลว่ามีคนอาศัยอยู่ในพื้นที่จริงเพียง 23,565 คน เท่านั้น เนื่องจากการที่คนหนุ่มสาวมักจะย้ายไปทำงานในเมืองกันเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้งในพื้นที่ของ อ.เมืองลำปาง และ อ.เมืองปาน ต่างก็มีความตระหนักถึงความสำคัญของการดูแผู้สูงวัยมากขึ้น มีหลายโครงการที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น การฝึกอบรมนักบริบาล (Care Giver) เพื่อดูแลผู้สูงวัยตามบ้าน เป็นชดเชยการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ และพยาบาล และสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนวัยทำงาน  เป็นโครงการที่พอได้รับผลตอบรับอยู่บ้างในพื้นที่ อ.เมืองปาน โดยเริ่มมีการเปิดอบรมนักบริบาลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 และปัจจุบันก็มีนักบริบาลอยู่ที่ประมาณ 60 กว่าคน ยังคงทำงานแม้จะได้ค่าตอบแทนที่ต่ำ เพราะมองว่าเป็นงานอาสาสมัคร อย่างไรก็ตามหลังการอบรมแล้วไปสักระยะก็ไม่ได้มีผู้ปฏิบัติงานต่อมากนัก เนื่องจากงานดูแลผู้สูงวัยเป็นภาระงานที่หนัก แต่ได้รับค่าตอบแทนที่ได้กลับไม่มากนัก

โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย

โครงการตั้งศูนย์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูผู้สูงวัย เช่น ความร่วมมือของพื้นที่ อ.เมืองลำปาง กับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประจำจังหวัด ในการตั้งศูนย์ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ เพื่อเสริมสร้างทักษะให้ผู้สูงวัยและบุคคลในครอบครัว สามารถทำงานพึ่งพาตนเองได้ตามแต่ที่ยังมีศักยภาพ และการตั้งศูนย์ดูแลซึ่งสามารถรับรองผู้สูงอายุได้ประมาณ 50 คน แต่ก็ถือว่ายังมีความจำเป็นต้องขยายความครอบคลุมอีกมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้สูงวัยในเทศบาลลำปางที่มีทั้งหมดประมาณ 15,000 คน สำหรับพื้นที่ อ.เมืองปาน นั้นแม้จะไม่ได้มีศูนย์ดูแลผู้สูงวัย แต่ก็มีการตั้งศูนย์ชะลอวัยสำหรับผู้มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป เพื่อให้ความรู้กับคนก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ เช่น การเตรียมตัว การดูแลสุขภาพ การเฝ้าระวังภาวะหกล้ม การประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และให้บริการคัดกรองโรคทางสายตาไปด้วย

ที่ผ่านมาทางเทศบาลนครลำปางได้มีการส่งเสริมการจัดตั้งกลุ่มผู้สูงอายุประจำชุมชน เพื่อคอยสอดส่องดูแล และแจ้งข่าวสารแก่ผู้สูงอายุในพื้นที่ เป็นการดึงศักยภาพของชุมชนในการดูแลกันและกัน แต่ด้วยสภาพสังคมความเป็นเมืองที่ชุมชนไม่ได้มีความเข้มแข็งและความใกล้ชิดเหมือนชุมชนนอกเมือง พบว่ามีบ่อยครั้งที่ทางผู้สูงวัยและครอบครัวปฏิเสธการมีส่วนร่วม การดูแลกันและกันในชุมชนจึงยังมีความท้าทายอยู่ไม่น้อย เป็นการยากที่จะแน่ใจได้ว่าผู้สูงอายุในพื้นที่จะได้รับข่าวสาร และการดูแลทางสุขภาพที่พวกเขาสมควรได้รับโดยตรงทั่วถึง เมื่อปีที่ผ่านมาทางเทศบาลนครลำปางจึงได้มีความพยายามในการเพิ่มจำนวนชุมชนจาก 43 ชุมชน เป็น 85 ชุมชน เพื่อให้เข้าถึงคนในพื้นที่ได้ละเอียดมากขึ้น นอกจากนี้ในแต่ละชุมชนจะมีการจัดประชุมอย่างสม่ำเสมอ และส่งประธานของชุมชนตัวเองเข้าไปร่วมสภาผู้สูงอายุเทศบาลนครลำปาง แล้วเมื่อประชุมกันแล้วสภาผู้สูงอายุก็สามารถมีส่วนร่วมในการทำแผนดำเนินกิจกรรมเสนอต่อทางเทศบาลได้อีกที เป็นการให้อำนาจประชาชนมีส่วนร่วมกันการบริหารและพัฒนาเมืองให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนยิ่งขึ้น (อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเพิ่มจำนวนชุมชนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ปัจจุบันจึงยังไม่ได้มีประธานชุมชนครบทุกพื้นที่) ส่วนทาง อ.เมืองปาน ก็มีโครงการให้ช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น โครงการฮอมฮักแปงเฮือน ซึ่งได้สร้างบ้านให้ประชาชนไปแล้ว 14 หลัง จากเป้าหมาย 25 หลัง, โครงการลำปางไม่ลำพังโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในปัจจุบันมีผู้สูงอายุในการดูแลช่วยเหลือของทางอำเภอเมืองปานอยู่ที่ 376 คน

งบประมาณท้องถิ่นไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ดี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังมีข้อจำกัดของงบประมาณ และเรื่องอำนาจของเทศบาลท้องถิ่นเองอีกมาก ในปัจจุบันเทศบาลท้องถิ่นต่าง ๆ กำลังได้รับการโอนพันธกิจจากส่วนกลางให้มีอำนาจและความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นเพิ่มมากขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดที่ยังไม่ได้มีการโอนงบประมาณเพิ่มมาด้วย ทำให้ขาดแคลนทั้งบุคลากร สถานที่ และความสามารถในการให้การรับรอง และนอกจากเรื่องของจำนวนของงบประมาณแล้ว ก็ยังมีข้อจำกัดของระเบียบข้อบังคับในการเบิกจ่ายที่ยังขาดความยืดหยุ่น มีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลานาน และการไม่มีงบสำหรับสถานการฉุกเฉินอีกด้วย เช่น การเบิกงบเพื่อให้ความช่วยเหลือบุคคลเปราะบางรายใหม่อาจจะไม่สามารถทำได้ทันท่วงที เพราะติดอุปสรรคเรื่องการคัดกรองผู้รับบริการว่าควรได้รับงบหรือไม่ ก็ต้องรอจบกว่าจะได้รับการอนุมัติก่อน ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการจะเบิกงบสำหรับผ้าอ้อมให้ผู้สูงอายุเพิ่มสักคนก็ต้องรอการพิจารณาอนุมัติจากทาง สปสช. ก่อน เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างภาระงาน และยังต้องเสียเวลาและงบประมาณไปกับการพิสูจน์เช่นนี้ด้วย ซึ่งในบางครั้งก็พบว่าค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการพิสูจน์นั้นมากยิ่งกว่าจำนวนเงินที่ให้การช่วยเหลือเสียอีกก็มี

นอกจากนี้ทางเทศบาลต่างยังพบอุปสรรคในเรื่องความทับซ้อนของพันธกิจกับหน่วยงานภาคส่วนอื่น ทำให้ไม่สามารถควบคุมจัดการได้ทั้งหมดอย่างมีเอกภาพ เช่น ความทับซ้อนของความรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงวัยของทั้งเทศบาล และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงการบริหารจัดการในส่วนของกันและกันได้ แล้วหากจะจัดทำบริการใหม่ ๆ ของตัวเองก็จะเกิดข้อกังวลว่าจะเป็นการทำงานที่ทับซ้อนกับอีกหน่วยงานหนึ่งหรือไม่ ทั้งที่ภาคส่งของตัวเองก็มีข้อจำกัดด้านงบประมาณมากอยู่แล้ว และยังมีภาระงานอื่น ๆ อีกจำนวนมาก

สำหรับในด้านการฟื้นฟูรักษาพยาบาลเมื่อคนมีความเจ็บป่วยนั้น ในอำเภอเมืองลำปางก็มีโรงพยาบาลลำปางเป็นหน่วยบริการทางสุขภาพประจำจังหวัด และมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อีกกว่า 27 แห่ง ภายใต้สังกัดของกระทรวงสาธารณสุข และทาง อ.เมืองปาน มีโรงพยาบาลเมืองปานเป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ และมี รพ.สต. อีก 8 แห่ง.


บทความนี้เป็นผลงานผู้เข้าร่วมโครงการ Activist Journalist ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิสื่อประชาธรรม (Prachatham Media Foundation) และสำนักข่าวลานเน้อ (LANNER News Media) โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Citizen Accountability for Local governance Media (CALM)

มาตรการลงทะเบียนซิมด้วย Liveness Detection ถูกตั้งคำถาม กระทบคนไร้สัญชาติ–แรงงานข้ามชาติ ‘ตี่ตาง’ ชี้จำกัดสิทธิสื่อสาร แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

จากกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ เเละกิจการโทรคมนาคมเเห่งชาติ (กสทช.) ประกาศใช้เทคโนโลยี Liveness Detection เมื่อวันที่...

พ่อหมอกฤตไท ร้องหยุดดองร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ด้านสภาลมหายใจ เเถลงไม่ควรเอื้อนายทุน

หลังจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ในวาระสามด้วยคะแนนเห็นด้วย 309 เสียง...

ให้คะแนนรัฐบาลอนุทิน ‘สอบตกยกแผง’ แก้ปัญหาน้ำกก–สายรวก–โขงปนเปื้อนโลหะหนัก จากเหมืองแร่ในรัฐฉาน

สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประเมินการทำงานของรัฐบาลไทยในการรับมือปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ระบุว่า ‘สอบตกยกแผง’ พร้อมแจกแจงการประเมินเป็นรายบุคคลต่อผู้นำฝ่ายบริหารสามตำแหน่ง นายกฯ...

Lanner Joy: LOLA Gallery DRIP แรงบันดาลใจจากความฝันเล็กๆ สู่รากกาแฟห้วยตองก๊อที่เติบโตอย่างแข็งแรง

เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ยามบ่ายต้นเดือนพฤศจิกายนที่ลานกว้างของโครงการจริงใจมาร์เก็ต เชียงใหม่ เสียงแจ๊สลอยแผ่วเบาเคล้ากลิ่นกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ เทศกาล Jazz Arabica กลับมาอีกครั้งในปี...