‘แม่ฮ่องสอน’ วิมานจนของคนซวย

Date:

เรื่อง: ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย


Summary 

  • แม่ฮ่องสอนถูกจัดอันดับเป็นจังหวัดที่มีคนจนเรื้อรังมากที่สุดในปี 2565 และเป็นจังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดอันดับต้นๆ กว่า 19 ปี 
  • รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในแม่ฮ่องสอนอยู่ที่ 15,496 บาทต่อเดือน ขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 12,816 บาทต่อเดือน 
  • ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ระบุว่าคนในแม่ฮ่องสอนต้องเผชิญกับความจนทั้งในด้านความเป็นอยู่ สุขภาพ การศึกษา และรายได้ 
  • ความยากจนของคนแม่ฮ่องสอนมีสาเหตุมาจากสภาพภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นพื้นที่สูง ทำให้ยากต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าหรือถนน รวมถึงปัญหาการศึกษาและปัญหาที่ดินทำกินที่สะสมมาเป็นเวลานาน
  • การประกาศพื้นที่ป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติครอบคลุมพื้นที่ร้อยละ 84.65 ยังเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในจังหวัดและการพัฒนาเศรษฐกิจในมิติอื่นๆ  
  • การแก้ปัญหาความยากจนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนควรเริ่มต้นด้วย 1) ปฏิรูปที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตร 2) ซ่อมแซมถนนที่ชำรุดและก่อสร้างถนนเพิ่มเติม เพื่อเชื่อมต่อเศรษฐกิจภายในจังหวัดและระหว่างจังหวัด และ 3) ยกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าให้เป็นด่านข้ามแดนถาวร เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเป็นเมืองชายแดนของจังหวัดแม่ฮ่องสอน

“ทุเรียน ผลไม้ที่มีราคาแพงไปปลูกในจังหวัดที่ยากจน มันแบบ…มันโครตน่าแย่งชิงเลยอ่ะ”1 

ข้อความข้างต้นนี้มาจากบทสัมภาษณ์ของ นฤเบศ กูโน ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องวิมานหนาม ที่เพิ่งออกฉายไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาและได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงบวกอย่างท่วมท้น ฉากชีวิตเรื่องราวของทั้งหมดถูกเล่าว่าเกิดขึ้นในจังหวัดแม่ฮ่องสอน หนึ่งในจังหวัดที่ยากจนที่สุดในประเทศไทย ฉะนั้นเรื่องราวของวิมานนามจึงไม่ใช่เพียงการต่อสู้เพื่อแย่งชิงการครอบครองสวนทุเรียนของสองตัวละคร แต่ยังเป็นการต่อสู้กันระหว่างคนสองคนเพื่อแย่งชิงสรวงสวรรค์ในดินแดนแห่งความจนนี้ด้วยเช่นกัน 

คำถามที่เราอาจต้องถามต่อจากบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับและเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดในวิมานหนาม คือ แม่ฮ่องสอนเป็นดินแดนแห่งความยากจนตามที่ว่าหรือไม่? และหากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดคนแม่ฮ่องสอนถึงตกอยู่ใต้เงาแห่งความจน? ผมอยากเริ่มต้นจากคำถามแรกเสียก่อน จากนั้นผมอยากจะลองพาผู้อ่านไปสำรวจคำถามที่สอง เพื่อหวังว่าเราจะพอได้คำตอบของคำถามที่ผมได้ตั้งทิ้งไว้ตั้งแต่ชมภาพยนตร์จบ

วิมานจน 

แม้จะเคยถูกจัดอันดับให้เป็นจังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย แต่ชาวแม่ฮ่องสอนกลับต้องอยู่ในวังวนของความจนในวิมานความสุขแห่งนี้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดอันดับให้จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีคนจนเรื้อรังมากที่สุดในประเทศเมื่อปี 25652 และเป็นจังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดอันดับต้นๆ ของประเทศมาต่อเนื่องกว่า 19 ปี

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ท้องฟ้า, เมฆ, ปลูก

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

รายงานจากการประเมินของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดแม่ฮ่องสอนระบุว่าศักยภาพการสร้างรายได้ต่อหัว (GPP per capita) ของคนแม่ฮ่องสอนก็อยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับจังหวัดรอบข้าง โดยอยู่ที่ประมาณ 65,650 บาทต่อหัว3 เมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดรอบข้างอย่างจังหวัดเชียงใหม่อยู่ที่ 135,991 บาท หรือกว่า 2 เท่าของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขณะที่จังหวัดตากมีมูลค่า 99,026 บาทต่อหัว ซึ่งก็ยังสูงกว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดแม่ฮ่องสอน มกราคม 2567 

ขณะที่มูลค่าผลผลิตมวลรวม (GDP) ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนอยู่ที่ประมาณ 15,797.48 ล้านบาท โดยมูลค่าส่วนใหญ่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาจากสินค้าเกษตรทั้งสิ้น โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ในปี 2565 ที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้สูงกว่า 2 แสนตัน ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปัจจุบันเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 10 บาทต่อกิโลกรัม4 และหากเป็นข้าวโพดที่มีความชื้นเกิน 30% หรือขายเป็นฝักข้าวโพดสดราคาจะลดลงเหลือประมาณ 8-9 บาทต่อกิโล ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าเกษตรที่ราคาถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าเกษตรชนิดอื่น

ในส่วนของรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนจะอยู่ที่ 15,496 บาทต่อเดือน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนจะอยู่ที่ 12,816 บาทต่อเดือน และมีหนี้สินเฉลี่ย 123,698 บาทต่อครัวเรือน5 หากสมมติเอาว่าครอบครัวหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีรายได้และรายจ่ายต่อเดือนเท่ากับค่าเฉลี่ยของแม่ฮ่องสอน นั่นหมายความว่าครอบครัวนี้จะต้องใช้เวลากว่า 3 ปี 8 เดือนเพื่อจะปลดหนี้สิ้น โดยมีเงื่อนไขว่าครอบครัวนี้ต้องใช้จ่ายไม่เกินค่าเฉลี่ยของรายจ่ายของค่าเฉลี่ยจังหวัด ต้องไม่ก่อหนี้สิ้นเพิ่มเติมอีกเลย และห้ามออมเงินเลยแม้แต่บาทเดียว หากครอบครัวนี้หวังจะปลดหนี้ให้หมดภายในเวลาไม่เกิน 4 ปี 

“พี่คงไม่กลับไปอยู่ที่บ้านแล้วแหละ พ่อแม่ก็เสียไปตั้งนานแล้ว พี่ไม่เหลือเหตุผลที่ต้องกลับไปแม่ฮ่องสอนอีกแล้ว ลูกพี่ก็เรียนที่นี่ (กาญจบุรี) จะให้พาเข้ากลับขี่รถข้ามดอยเพื่อไปโรงเรียนมันก็คงไม่ใช่เรื่อง” 

ข้อความข้างบนนี้คือ คำตอบของพี่เนย (นามสมมติ) ที่กล่าวขึ้นหลังจากผมถามว่าคิดจะกลับไปอยู่ “บ้าน” หรือไม่ พี่เนยแต่เดิมเป็นคนอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่อำเภอสบเมย และพบรักกับสามีที่ทำงานอยู่ที่จังหวัดตาก หลังจากแต่งงานพี่เนยและสามีก็ย้ายมาลงหลักปักฐานกันที่จังหวัดกาญจนบุรี ทั้งสองช่วยกันดูแลธุรกิจก่อสร้างที่สามีก่อตั้งขึ้น ก่อนจะมีลูกสาวตัวน้อยที่กำลังเรียนมัธยมต้นอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี ตอนนี้จังหวัดกาญจนบุรีได้กลายเป็น “บ้านใหม่” ของพี่เนยไปแล้ว 

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ท้องฟ้า, เมฆ, ต้นไม้

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

แต่สำหรับบ้าน “วิมานหลังเก่า” ที่แม่ฮ่องสอน พี่เนยยังคงผูกพันธ์และมีญาติพี่น้องบางส่วนอาศัยอยู่ที่อำเภอแม่สะเรียงและอำเภอสบเมย เธอยังคงเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องอยู่บ่อยๆ แม้จะต้องทนนั่งรถนานกว่า 12 ชั่วโมงในการเดินทางแต่ละครั้ง

พี่เนยเล่าให้ฟังถึงชีวิตที่บ้านเก่าอย่างแม่สะเรียงว่า แต่เดิมแล้วที่บ้านประกอบอาชีพเกษตรกรปลูกข้าวนาปีอยู่ที่อำเภอแม่สะเรียง พี่เนยต้องเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ของพ่อผ่านดอยแม่สะเรียงเพื่อไปโรงเรียน ก่อนจะเล่าต่อพี่เนยแวะแสดงกริยาส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับพูดว่า 

“ชีวิตพี่ตอนอยู่แม่สะเรียงมันไม่มีอะไรใกล้เคียงคำว่าสบายเลย” 

ชีวิตวัยเด็กสำหรับพี่เนยไม่ใช่ความทรงจำที่หอมหวานเหมือนละครที่ฉายภาพชนบทอันแสนสุขแต่อย่างใด พี่เนยไม่เคยเห็นแสงไฟจากหลอดไฟเลยจนกระทั่งย้ายมาอยู่อำเภอสบเมย พี่เนยอาศัยเปลวตะเกียงน้ำมันก๊าซเป็นแสงสว่างในยามค่ำคืนและแสงนั่นจะดับลงในเวลาเพียงไม่นานหลังจากจุด เนื่องจากราคาน้ำมันก๊าดในช่วงเวลานั้นค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ของครอบครัวพี่เนย ที่เธอระบุว่าอยู่ในระดับ “จน”

วิมานของพี่เนยในวัยเด็กเป็นบ้านขนาดเล็ก หลังคามุงด้วยสังกะสี และผนังทำมาจากไม้ บ้านถูกล้อมไปด้วยนาที่เป็นทั้งสนามเด็กเล่นและที่ทำงานของเธอไปในเวลาเดียวกัน น้ำประปาไม่ใช่สิ่งที่พี่เนยรู้จักในวัยเด็ก คลองต่างหากที่เป็นดั่งประปาหมู่บ้านให้พี่เนยและเพื่อนบ้านใช้อุปโภค

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ท้องฟ้า, กระท่อม, อาคาร

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

พี่เนยจำไม่ได้แน่ชัดว่าพ่อแม่มีที่นากี่ไร่ แต่พี่เนยกลับยืนยันว่าครอบครัวของเธอตอนนั้นอยู่ในจุดที่พูดได้เต็มปากเลยว่าจน แต่ที่นาของครอบครัวพี่เนยมีมากกว่าหลายคนในหมู่บ้านทำให้เธอได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วมีคนจนกว่าครอบครัวเธออีกมาก พี่เนยเล่าให้ฟังว่าเพื่อนๆ เธอหลายคนในละแวกไม่ได้เรียนในระดับมัธยมต้นด้วยซ้ำ หลายคนต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา บางคนเดินทางออกไปทำงานที่จังหวัดลำพูนบ้างเชียงใหม่บ้าง  

“ความจนที่พี่บอกนี่ มันคือจนจริงๆ นะ ไม่ใช่จนแบบพอมีกิน” 

พี่เนยยังคงเน้นย้ำถึงความจนที่ตนเองเคยพบเห็นมาในวัยเด็ก สำหรับพี่เนยแล้วแม้บ้านหรือวิมานเดิมที่เธอเคยอาศัยจะมีภาพความสุขปะปนมาบ้างเมื่อย้อนถึง แต่ภาพความจนก็ไม่หลุดหายไปจากความทรงจำของเธอเลย ความจนของครอบครัวที่พี่เนยเล่าถึง ยังมาพร้อมกับความรู้สึกลำบากที่คงค้างอยู่ในมวลความรู้สึกของพี่เนย ความรู้สึกที่พี่เนยไม่อยากให้ลูกสาวของเธอต้องมาประสบให้ขุ่นเคืองเช่นที่เธอเคยประสบ

หลังจากฟังปากคำจากอดีตคนในวิมานแห่งความจนที่ย้ายออกไปจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ต่อมา ผมอยากชวนมาฟังปากคำของคนนอกวิมานที่ได้ย้ายมาทำงานอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน 

พี่ตัง เจ้าหน้าที่ขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) แห่งหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน พี่ตังแต่เดิมเป็นคนกรุงเทพฯ เรียนจบปริญญาโทและเริ่มทำงานที่กรุงเทพฯ ก่อนจะย้ายไปทำงานที่เชียงราย และปัจจุบันย้ายมาทำงานในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ฉะนั้น พี่ตังจึงเป็นหนึ่งในคนที่จะบอกเล่า “ความต่าง” ระหว่างวิมานความจนแห่งนี้กับวิมานหลังอื่น

“กรุงเทพถ้าเทียบเป็นสเกลเศรษฐกิจต่างกันมาก ถ้าดู GDP รายได้ต่อครัวเรือน แม่ฮ่องสอนแทบจะยากจนที่สุด แต่กรุงเทพคือสูงสุด กรุงเทพฯ GDP มากกว่าแม่ฮ่องสอนเกือบ 250 เท่า อันนี้เทียบได้ซ้ายไปขวาเลย แม่ฮ่องสอนใหญ่กว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 8 เท่า แม่ฮ่องสอนมี 3 แสนคน ในขณะที่กรุงเทพฯ มีคน 10-11 ล้านคน กรุงเทพฯ มีคนมากกว่าแม่ฮ่องสอนประมาณ 40 เท่า 

ส่วนเชียงรายเป็นเมืองรองที่เรารู้สึกว่าค่อนข้างสะดวกสบายเลย ถ้าเปรียบเทียบจำนวนขนาดพื้นที่ จำนวนประชากร และความหนาแน่น คือโอเคเลย เป็นเมืองที่น่าอยู่ มีห้างสรรพสินค้า มีความสะดวกสบาย แต่แม่ฮ่องสอนไม่มีห้าง ไม่มีโรงหนัง ไม่มีพวกแฟรนไชส์”

แม้จะพี่ตังจะมองเห็นความแตกต่างในการใช้ชีวิตระหว่างทั้ง 2 จังหวัดที่ได้กล่าวไปกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่พี่ตังค์ยังตั้งข้อสังเกตลงไปที่ความเฉพาะของเศรษฐกิจจังหวัดแม่ฮ่องสอน นั่นคือ

“ชาวเขา ชาวไร่ ชาวนา คนกลุ่มนี้จะเข้าถึงบริการในตัวเมืองยากและห่างไกลมาก ๆ คิดว่าเป็นส่วนที่ทำให้ GDP ค่อนข้างต่ำ ที่เกษตร (จังหวัดแม่ฮ่องสอน) สู้จังหวัดอื่นไม่ได้เพราะมีเรื่องของการขนส่ง ไม่ค่อยมีใครเขาขนอะไรมาแม่ฮ่องสอนกัน แม่ฮ่องสอนค่าขนส่งจะสูงมาก มันเป็นเมืองในหุบเขา เราไม่มีสินค้าทางการเกษตรที่มันโดดเด่น ประชากรน้อยด้วย แม่ฮ่องสอนมี 3 แสนคน ใน 3 แสนคน เป็นเกษตรกรไปแล้ว 80% ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่จะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกัน”

จากข้อมูลของระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP)6 ผู้คนในแม่ฮ่องสอนต้องเผชิญกับความจน 4 ด้านด้วยกันประกอบด้วย 1) ด้านความเป็นอยู่ 2) ด้านสุขภาพ 3) ด้านการศึกษา และ 4) ด้านรายได้ ในจำนวนคนจนทั้ง 4 ด้าน คนจนด้านรายได้และความเป็นอยู่มีจำนวนตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งแตกต่างจากข้อมูลของจังหวัดอื่นในภาคเหนือตอนบนทั้งหมด ที่จำนวนคนจนด้านรายได้จะสูงกว่าคนจนด้านความเป็นอยู่หลายเท่าตัว  

ดัชนีชี้วัดความจนด้านความเป็นอยู่ที่ TPMAP ใช้ในการเก็บข้อมูล ประกอบด้วย 1) สภาพที่อยู่อาศัยและการย้ายที่อยู่ 2) การจัดเก็บขยะ 3) การถูกรบกวนจากมลพิษ 4) ความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติและอุบัติเหตุ 5 ) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 6) การเข้าถึงน้ำสำหรับบริโภคและอุปโภค 7) การเข้าถึงไฟฟ้าและใช้บริการไฟฟ้า 8) การเข้าถึงบริการโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต และ 7) การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ การที่แม่ฮ่องสอนมีจำนวนคนจนด้านรายได้และคนจนด้านความเป็นอยู่ใกล้เคียงกัน อาจทำให้เราอนุมานได้ว่า คนแม่ฮ่องสอนไม่ใช่เพียงมีรายได้น้อย แต่ยังต้องทนอยู่กับชีวิตที่ยากลำบากไปพร้อมกัน ขณะที่คนเหนือในจังหวัดอื่นๆ แม้จะมีรายได้น้อยแต่ความเป็นอยู่ของพวกเขาก็มิได้ลำบากเท่ากับคนแม่ฮ่องสอน

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ต้นไม้, ท้องฟ้า, ภูเขา

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

หากเราย้อนกลับไปทำความเข้าใจคำให้สัมภาษณ์ของพี่เนย เราอาจจะเห็นว่านอกจากเรื่องรายได้อันน้อยนิดของครอบครัวพี่เนย เธอยังกล่าวถึงความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของเธอและครอบครัวตลอดคำให้สัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าหรือน้ำประปาที่เดินทางไปไม่ถึงบ้านของเธอ หรือโรงเรียนที่ต้องขี่รถข้ามดอยกว่าจะไปถึง ทั้งหมดประกอบสร้างรวมกันจนทำให้แม่ฮ่องสอนเป็น “วิมานความจน” ในความทรงจำของพี่เนยไปเสีย

คนจน คนซวย 

ผมคิดว่าการได้ฟังชีวิตของพี่เนยร่วมกับข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดแม่ฮ่องสอนอาจทำให้เราทุกคนพอจะเห็นภาพความจนของคนแม่ฮ่องสอน แต่เพราะอะไรล่ะที่ทำให้แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่จนเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ หรือพูดอย่างตรงไปตรงมา สาเหตุอะไรกันล่ะที่ทำให้คนแม่ฮ่องสอนต้องกลายเป็นคนจนที่จนแบบแสนสาหัส

คำตอบของคำถามนี้คงไม่ใช่เพราะคนแม่ฮ่องสอนไม่รู้จักบริหารค่าใช้จ่าย ไม่รู้จักเก็บเงิน หรือไม่รู้จักการลงทุน แบบที่เศรษฐีหัวแหลมขายปลาหมอ หรือ CEO บริษัทฟรีแลนซ์แห่งหนึ่งชอบพูดวนซ้ำไปว่าทั้งสามสิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้คนๆ หนึ่งจนหรือรวยได้

“สาเหตุที่ทำให้คนจน มันพูดได้มากมายหลากหลายแหละ คุณเป็นนักเศรษฐศาสตร์คุณก็จะตอบแบบหนึ่ง คุณเป็นพวกสังคมศาสตร์คุณก็จะตอบอีกแบบหนึ่ง แต่ผมสรุปได้สั้นๆ เลยนะ สาเหตุคือพวกเขาซวย” เป็นคนคำตอบที่ผมได้จากนักวิจัยเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งในระหว่างสนทนากันบนโต๊ะอาหาร (ไม่แน่ใจว่าแกอยู่ในสภาวะกึ่มๆ หรือเปล่า) ผมจดจำคำพูดนี้ได้ขึ้นใจ เพราะปกติเวลาสนทนาประเด็นเรื่องสาเหตุความจนกับใคร ทุกคนรวมถึงผมมักจะตอบว่าพวกเขาจนเพราะ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ซึ่งทั้งสองคำตอบก็คือเรื่องเดียวกัน แต่ผมว่าคำว่าซวยมันจี้ใจดำกว่า

“ความซวย” หรือจะพูดว่าปัญหาเชิงโครงสร้างก็ตามที ทั้งสองวางอยู่ฐานทางความคิดเดียวกันคือ “มีมือที่มองไม่เห็นกดให้คนต้องจนอยู่แบบนั้น” ซึ่งมือดังกล่าวอาจหมายถึงการขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบ การไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ บริการสาธารณะเข้าไม่ถึง หรือกระทั่งการอยู่ในพื้นที่ที่เดินทางลำบาก อาจเป็นเรื่องตลกร้าย แต่ความซวยทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นคือ ความซวยที่คนแม่ฮ่องสอนต้องเผชิญอยู่ทุกวัน!

หากเราลองย้อนกลับไปดูข้อมูลคนจนด้านความเป็นอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องของ TPMAP ที่ผมยกขึ้นมากล่าวถึงก่อนหน้านี้ นี่แหละคือข้อมูลที่บอกว่าคนแม่ฮ่องสอน ซวยเพราะหากเรามองข้อมูลดังกล่าวในด้านกลับกัน ดัชนีชี้วัดคนจนด้านความเป็นอยู่ทั้งหมดคือ การกล่าวถึงคนที่ซวยเกิดในจังหวัดที่โครงสร้างพื้นฐาน (ถนน, น้ำประปา, ไฟฟ้า, สัญญาณโทรศัพท์/อินเทอร์เน็ต ฯ) มีไม่เพียงพอให้พวกเขาสามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นไปได้ยากลำบากมาก เนื่องด้วยข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์ที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดอย (ภูเขา) และพื้นที่สูง แม้จะเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของภาคเหนือ มีเนื้อที่ประมาณ 7,987,808 ไร่ แต่พื้นที่กว่า 85% (6,821,808 ไร่) เป็นพื้นที่ “ป่า” และพื้นที่ป่าเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ ส่งผลให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานติดปัญหาทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และเชิงกฎหมาย อาจจะรวมถึงติดปัญหาเชิงศีลธรรมด้วยซ้ำหากมีการพัฒนาพื้นที่โดยวิธีการถ่างป่าสร้างถนนและเสาไฟฟ้า 

จากนี้ ผมจะขอแบ่งหัวข้อย่อยลงไปอีก เพื่อพาทุกคนไปสำรวจความซวยของคนแม่ฮ่องสอน ผ่านเรื่องเล่าของพี่ตัง สมาชิกวิมานความจนหน้าใหม่ ที่เราได้ฟังปากคำของเธอไปก่อนหน้านี้ และ อาฉู่ คนแม่ฮ่องสนอแต่กำเนิดและยังเป็นเจ้าของร้านกาแฟ Lola gallery drip Coffee ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผู้ที่ทั้ง “เห็น” และ “สัมผัส” กับความซวยของคนแม่ฮ่องสอน

1. ไฟฟ้า

“สถานการณ์ช่วงนี้ วันนึงไฟดับ 3-4 รอบ เพราะ space มันไกลการส่งไฟจากเชียงใหม่มาแม่ฮ่องสอน มันต้องผ่านหลายภูเขา พอมันเกิดภัยพิบัติ บางคนอาจจะคิดว่า ไม่เป็นไรหรอก แม่ฮ่องสอนอยู่บนเขา แต่ไฟฟ้าไม่มามันก็ส่งผลกระทบ ใครที่ทำพวกของสด ใครเลี้ยงปลาในออกซิเจนก็ตายยกบ่อ มันโดนผลกระทบหมด” (อาฉู่)

อาฉู่ ในฐานะคนแม่ฮ่องสอนและในฐานะผู้ประกอบการที่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าในการประกอบอาชีพ เริ่มเล่าให้ฟังถึงปัญหาความไม่มั่นคงของระบบไฟฟ้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอน 

แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าต่ำที่สุด เหตุที่หลายหมู่บ้านยังไม่อาจเข้าถึงไฟฟ้าได้ก็เนื่องจากด้วยข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์ที่ยากต่อการสร้างและการซ่อมเสาส่งไฟฟ้า ประกอบกับระยะทางระหว่างหมู่บ้านต่างๆ ทำให้สูญเสียกำลังส่งไฟฟ้า นอกจากนั้นยังมีเกิดเหตุการณ์ต้นไม้ล้มทับเสาไฟฟ้าอยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยถนนที่คดเคี้ยวทำให้ยากต่อการซ่อมแซ่มเสาไฟฟ้าที่เสียหายทำให้เหตุการณ์ไฟฟ้าดับเป็นเวลานานเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไฟฟ้าจึงเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ในแม่ฮ่องสอนได้ยากมาก7  

คงไม่ต้องอธิบายให้มากความว่าไฟฟ้าสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างไรและคนแม่ฮ่องสอนสามารถใช้ไฟฟ้าเพื่อต่อยอดสร้างรายได้ยังไงบ้าง แต่สำหรับแม่ฮ่องสอนระบบไฟฟ้ากลับไม่ครอบคลุมในหลายพื้นที่ ในปี 2566 มีจำนวนหมู่บ้านในแม่ฮ่องสอนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้ามากถึง 94 หมู่บ้าน ในจำนวนนี้มีกว่า 69 หมู่บ้านที่ยังไม่การดำเนินโครงการใดๆ เพื่อติดตั้งระบบไฟฟ้าให้หมู่บ้านเหล่านี้8

เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา แม่ฮ่องสอนต้องเร่งดำเนินโครงการนำร่องการขยายเขตไฟฟ้า เนื่องจากยังมีหลายหมู่บ้านที่ยังเข้าไม่ถึงระบบไฟฟ้า ในการดำเนินโครงการดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่ 5 หมู่บ้าน โดยมีครัวเรือนที่ยังไม่เข้าถึงไฟฟ้าในทั้ง 5 หมู่บ้านรวมกันกว่า 300 ครัวเรือน9 ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นเพียงโครงการ “นำร่อง” เท่านั้น นั่นเท่ากับว่ายังมีอีกหลายหมู่บ้านและหลายครัวเรือนยังไม่อาจเข้าถึงไฟฟ้าได้

2. ถนน 

“เรื่องโลจิสติกส์ การขนส่ง การบริการต่าง ๆ ผมสงสารคนแม่ฮ่องสอนมากเลยมันไม่มีทางเลือก ไม่มีสิทธิ์เลือก การเดินทางจากแม่ฮ่องสอนไปจังหวัดอื่น ๆ มันยาก มันเปลืองค่าน้ำมัน ต้องเสียอะไรหลาย ๆ อย่าง อันนี้พูดแค่ในเมือง ถ้าเป็นรอบนอกลำบากคือทุกที่ สำหรับผมมันเลือกอะไรไม่ได้แล้ว มันก็ต้องอยู่กับสภาพแบบนี้ คนแม่ฮ่องสอนแทบไม่เห็นปัญหานี้กันแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่หรือคนที่ทำงานแล้วต้องเดินทางบ่อย” (อาฉู่)

ไม่ใช่เพียงไฟฟ้า แต่ถนนและระบบขนส่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเองก็แลดูจะมีปัญหา เพราะจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่สูง การก่อสร้างหรือซ่อมแซมถนนจึงทำได้ยาก อาฉู่และพี่ตังได้เล่าต่อถึงผลกระทบของการเดินทางด้วยถนนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนไว้ ดังนี้ 

“ถ้าเป็นเรื่องการเดินทาง ความเท่าเทียมเรื่องการขนส่งเรายังไม่ได้รับ เวลาจะส่งของเขาจะบวกค่าขนส่งพื้นที่ทุรกันดาร การทำมาค้าขายออนไลน์ก็ต้องเสียเยอะกว่าคนอื่น น้ำมันก็แพงกว่าที่อื่น 1 บาท ค่าครองชีพ ผมคิดว่าสูงกว่าอยู่เชียงใหม่ อย่างรถตู้วิ่งได้วันนึงแค่ 3 เที่ยว” (อาฉู่)

“ที่เกษตรสู้จังหวัดอื่นไม่ได้เพราะมีเรื่องของการขนส่ง ไม่ค่อยมีใครเขาขนอะไรมาแม่ฮ่องสอนกัน แม่ฮ่องสอนค่าขนส่งจะสูงมาก มันเป็นเมืองในหุบเขา” (พี่ตัง)

ถนนทางหลวงในจังหวัดแม่ฮ่องสอนปัจจุบันมีความยาวรวมกันเพียง 615 กิโลเมตร10 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงความยาวถนนทางหลวงในจังหวัดเชียงใหม่เมื่อปี 251711 (ประมาณ 601.670 กม. ณ เวลานั้น) สำหรับประเทศไทยการสร้างถนนทางหลวงถือว่าเป็นด่านแรกของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อเศรษฐกิจระหว่างพื้นที่ต่างๆ เข้าหากัน ตั้งแต่เริ่มบุกเบิกการพัฒนาประเทศในปี 2504 ถนนเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญอันดับหนึ่งในการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ12และจังหวัดต่างๆ13  

แต่สำหรับแม่ฮ่องสอนด้วยภูมิศาสตร์ที่สลับซับซ้อนและหลายพื้นที่เป็นพื้นที่ป่า จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะก่อสร้างถนน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชนจังหวัดแม่ฮ่องสอนเสนอว่าปัญหาการคมนาคมโดยเฉพาะการคมนาคมทางถนนเป็นปัญหาที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานและไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่งปัญหาการคมนายังส่งผลกระทบท่องเที่ยว การค้า การลงทุนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นวงกว้าง โดยถนนทางหลวง 1095 สายหนองโค้ง–แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นถนนทางเศรษฐกิจเส้นสำคัญที่เชื่อมต่อจังหวัดเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอน แต่รถขนาดใหญ่กลับไม่สามารถสัญจรผ่านได้สะดวกนัก เนื่องจากถนนมีความสูงชันและคดเคี้ยวเป็นอย่างมาก ซ้ำในฤดูฝนถนนเส้นดังกล่าวและเส้นอื่นๆ ก็ได้รับความเสียหายจากปัญหาดินถล่ม14 ปัญหานี้ทำให้ถนนไม่อาจจะทำหน้าที่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อเศรษฐกิจระหว่างที่ต่างๆ เข้าหากันได้อย่างที่ควรจะเป็น 

3. การศึกษา

การศึกษาถือได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ของแม่ฮ่องสอน จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรจังหวัดแม่ฮ่องสอนในปี 256515 พบว่า จากจำนวนการสำรวจแรงงานจำนวน 205,620 คน แม่ฮ่องสอนมีประกรที่อายุสูงกว่า 15 ปีแต่ไม่มีการศึกษาหรือจบการศึกษาต่ำกว่าระดับประถมกว่า 91,296 คน จบการศึกษาระดับประถม 37,135 คน ระดับมัธยมต้น 31,167 คน และมัธยมปลาย 25,092 คน กล่าวคือคนแม่ฮ่องสอนที่อยู่ในวัยแรงงานจำนวนกว่า 1.2 แสนคนหรือเกินกว่าครึ่งมีระดับการศึกษาสูงสุดเพียงประถมศึกษา  

จากข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประจำปีการศึกษา 256616 พบว่าเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 15 ปีมีสัดส่วนการเข้าถึงการศึกษามากกว่าร้อยละ 90 จากจำนวนเยาวชนที่มีสิทธิ์เข้ารับการศึกษา ในขณะที่เยาวชนที่อายุมากกว่า 15 ปีกลับมีสัดส่วนการเข้าถึงการศึกษาลดลงเหลือเพียงร้อยละ 79.46 เท่านั้น นอกจากนั้นจากผลการสอบ O-Net นักเรียนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนทุกระดับชั้นมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าทั้งคะแนนเฉลี่ยรวมของทั้งประเทศและคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนในภาคเหนือ และบางปีจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีคะแนน O-Net เฉลี่ยต่ำที่สุดในประเทศไทย

ในส่วนของจำนวนสถานศึกษา (โรงเรียน, วิทยาลัยอาชีว, มหาวิทยาลัย และศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ต่างๆ) ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีจำนวนเพียง 532 แห่งทั่วทั้งจังหวัด ซึ่งน้อยมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดเพื่อนบ้านอย่างจังหวัดเชียงใหม่ที่มีจำนวนสถานศึกษามากถึง 1,633 แห่ง17   

ขณะเดียวหลายโรงเรียนในแม่ฮ่องสอนยังประสบกับปัญหาขาดแคลนบุคคลากรและสื่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่เผชิญปัญหารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการไม่มีผู้อำนวยการโรงเรียน ขาดแคลนอาหารและสถานที่สอน หรือจำนวนครูที่ไม่เพียงพอ อันเนื่องมาจากการได้รับงบประมาณจัดสรรน้อยมาก18 องค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทยได้เปิดเผยรายงานช่องว่างการเรียนรู้ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเน้นย้ำให้เห็นถึงปัญหาด้านการศึกษาที่มีมาอย่างยาวนานในแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องว่างทางการศึกษาในเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์19

“เราเคยได้ยินมาว่าจังหวัดไหนที่มีความจำเป็นน้อย เขาจะให้งบน้อย เหมือนงบประมาณประเทศไทยจะจัดสรรให้จังหวัดต่าง ๆ ตามจำนวนประชากร เวลามีคนน้อย งบที่ถูกจัดสรรมาก็จะน้อยตาม เราจึงไม่เห็นความพัฒนาของอะไรหลาย ๆ อย่าง” (พี่ตัง)

พี่เนยตั้งคำถามกับการจัดสรรงบประมาณให้แก่จังหวัดต่าง ๆ โดยอาศัยจำนวนประชากรเป็นเกณฑ์ ซึ่งส่งผลให้จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่มีจำนวนประชากรเบาบางได้รับการจัดสรรงบประมาณในจำนวนที่น้อยมาก ทำให้ไม่สามารถนำงบประมาณไปแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เลย โดยเฉพาะปัญหาการศึกษาที่แลดูจะต้องการงบประมาณในการพัฒนาอยู่มาก

ในขณะเดียวกัน จากจำนวนประชากรของแม่ฮ่องสอนอยู่ที่ประมาณ 284,549 คน มีจำนวนประชากรที่เป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทยจำนวน 43,638 คน  คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 15.3 จึงทำให้อาจมีความเป็นไปได้สูงที่เด็ก ๆ จากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทยจะเป็นกลุ่มที่มีช่องว่างทางการศึกษาสูงที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน 

4. ที่ดินและพื้นที่ป่า

ถึงจะเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในภาคเหนือ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 84.65 เป็นพื้นที่ป่า หรือกว่า 6 ล้านไร่ ในขณะที่ที่ดินทำกินและอยู่อาศัยกลับมีเพียง 1 ล้านไร่ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการอยู่อาศัยและการทำเกษตรอันเป็นอาชีพหลักของคนแม่ฮ่องสอน นอกจากนั้น หลายพื้นที่ยังถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ ส่งผลชาวแม่ฮ่องสอนหลายคนต้องอาศัยและทำการเกษตรอยู่ในพื้นที่ที่ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าและพื้นที่อุทยาน  

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ภูเขา, เมฆ, ธรรมชาติ

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

การพัฒนาพื้นที่ป่าและการขยายที่ดินทำกินมิอาจทำได้โดยง่าย เนื่องจากติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ป่าและอุทยาน การก่อสร้างถนนหรือเสาส่งไฟฟ้าหลายพื้นที่มิอาจดำเนินการได้ เนื่องจากการดำเนินโครงการในหลายพื้นที่เป็นพื้นที่ป่าที่ต้องขออนุญาตจากกรมป่าไม้และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ 

นอกจากนั้นยังส่งผลให้คนแม่ฮ่องสอนหลายคนถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกป่า ปัญหาว่าด้วยเรื่องที่ดินและคดีเกี่ยวกับป่ามีมาอย่างยาวนานไม่ต่ำกว่า 30 ปี20

แม้ข้าวโพดที่เป็นสินค้าที่ผลิตได้มากที่สุดในแม่ฮ่องสอน แต่พื้นที่ปลูกข้าวโพดกลับมีอยู่เพียง 41,330 ไร่ คิดเป็นการใช้พื้นที่ไม่ถึงร้อยละ 1 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด21 ทั้งที่สินค้าเกษตรเป็นสินค้าหลักที่ช่วยผยุงตัวเลข GDP ของจังหวัดให้ไม่ตกต่ำไปกว่านี้ ประกอบกับอาชีพส่วนใหญ่ของคนแม่ฮ่องสอนก็คือการทำเกษตร แต่กลับมีพื้นที่ให้พวกเขาทำเกษตรเพียงน้อยนิด พี่ตังเองในฐานะสมาชิกหน้าใหม่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็มองเห็นข้อสังเกตต่อการทำการเกษตรในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเธอกล่าวว่า

“แม่ฮ่องสอนมี 3 แสนคน ใน 3 แสนคน เป็นเกษตรกรไปแล้ว 80% ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่จะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกัน” (พี่ตัง)

แม้ปริมาณพื้นที่ทำการเกษตรที่มีน้อย จนอาจนำไปสู่การโยกย้ายเพื่อตามหาโอกาสในทางเศรษฐกิจของคนรุ่นใหม่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่แล้วในช่วงการยึดอำนาจของ คสช. รัฐบาลยังดำเนินโครงการทวงคืนพื้นที่ป่าและการไล่ “จับคน” ที่รัฐบาลมองว่า “บุกรุกพื้นที่ป่า” โดยในปี 2557 ได้มีประกาศใช้คำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 เพื่อเข้ายึดที่ดินและไล่จับคน อาทิ เหตุการณ์เมื่ออวันที่ 25 สิงหาคม 2557 มีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังบุกเข้าไปทำลายข้าวโพดที่ปลูกอยู่ในที่ดินของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและเกษตรกรอีก 2 คน โดยเจ้าที่อ้างอำนาจตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 ทำให้ไม่มีการเข้ามาเจรจาพูดคุยกับเจ้าของไร่แต่อย่างใด หรือในวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 มีการประกาศว่าจะดำเนินการยึดที่ดินกว่า 1,500 ไร่ ในพื้นที่บ้านเลาวู อำเภอเวียงแหง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีสันนิษฐานว่าเป็นที่ดินทำกินของครอบครัวคนแม่ฮ่องสอนกว่า 150 ครอบครัว ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์คือผลลัพธ์ของการประกาศพื้นที่ป่าทับพื้นที่คน

การประกาศพื้นที่ป่าโดยภาครัฐจึงเป็นเสมือนการเอา “ป่า” มากักขัง “คนแม่ฮ่องสอน” รวมถึงยังเป็นเหมือนการกีดกันโครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่มุ่งหวังให้คนแม่ฮ่องสอนได้ลืมตาอ้าปาก ราวกับว่าจะกักขังคนแม่ฮ่องสอนไว้ในวิมานแห่งความจนแห่งนี้ไปตลอดกาล 

ถึงเวลาพรมน้ำมนต์ล้างซวย! 

ข้อสังเกตตลอดคำสัมภาษณ์ของพี่ตังและอาฉู่ คือความกังวลที่ผู้พวกเขาทั้งสองมีต่อคนรุ่นใหม่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื่องจากโอากาสสำหรับคนรุ่นใหม่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนดูจะหายากขึ้นเรื่อย ๆ ในทัศนะของพวกเขา แต่สำหรับผมคนรุ่นใหม่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนกำลังเผชิญกับความซวย เช่นนั้นเราจะแก้ปัญหาความซวยให้กับคนแม่ฮ่องสอนและคนรุ่นใหม่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้อย่างไร

หากความซวยเป็นเรื่องเดียวกับปัญหาเชิงโครงสร้าง การพรมน้ำมนล้างซวยก็คงคล้ายกับการถอดรื้อโครงสร้างที่เป็นเป็นปัญหา เพื่อเปิดทางให้คนแม่ฮ่องสอนเดินออกจากวิมานแห่งความจนแห่งเสียที 

ฉะนั้น ผมจึงใคร่ที่จะรวบรวมข้อเสนอการแก้ไขปัญหาความยากจนของคนแม่ฮ่องสอนที่กระจัดกระจายอยู่ ให้รวมกันเป็นน้ำมนล้างซวยความจนเสียหน่อย

1. ปฎิรูปที่คืนที่ดินให้กับคนแม่ฮ่องสอน

การผลิตในภาคเกษตรถือเป็นหนึ่งในเครื่องจักรทางเศรษฐกิจของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและแรงงานส่วนใหญ่ของจังหวัดก็ยังทำงานอยู่ในภาคเกษตร แต่เกษตรกรกลับมีที่ดินในการเพาะปลูกเพียงน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ที่ถูกประกาศให้เป็น “ป่า” พูดอย่างตรงไปตรงมา เราควรตั้งคำถามว่าพื้นที่เหล่านี้ยังควรมีสถานะเป็นป่าอยู่หรือไม่?

แรกเริ่มภาครัฐควรเริ่มต้นทำการสำรวจพื้นที่ป่าภายในจังหวัดแม่ฮ่องสอน (รวมถึงพื้นที่ป่าทั้งประเทศ) เสียใหม่ เพื่อตรวจสอบว่าพื้นที่ใดมีสภาพเป็นป่าจริงและเห็นสมควรให้มีการคงสภาพความเป็นป่าในทางกฎหมายไว้ และพื้นที่ไหนที่สิ้นสภาพความเป็นป่าแล้วหรือเห็นควรว่าพื้นที่ดังกล่าวควรได้รับการปฏิรูปภาครัฐควรเร่งจัดสรรที่ดินให้เป็นที่ดินทำกินและอนุมัติให้สามารถถือครองเป็นโฉนดได้ เพื่อให้เกิดการขยายพื้นที่การเกษตรออกไปให้กว้างมากขึ้น 

นอกจาก การปฏิรูปที่ดินจะทำให้เกษตรกรมีพื้นที่ในการทำการเกษตรมากขึ้นแล้ว การได้ถือครองโฉนดยังส่งผลให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อเป็นทุนในการพัฒนาการผลิต ขณะเดียวกันการถือครองที่ดินแบบโฉนดยังเป็นการสร้าง “ความปลอดภัย” ในการถือครองที่ดิน เนื่องจากการถือครองแบบ สปก. ที่ดินพื้นนั้นยังถือว่าเป็นของรัฐอยู่ หากมีการประกาศพื้นที่ป่าหรือพื้นที่โครงการต่าง ๆ เอกสาร สปก. จะกลายเป็นเศษกระดาษทันที 

ฉะนั้น การทำให้แม่ฮ่องสอนสามารถผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มและเกษตรกรมีที่ดินเป็นของตนเอง น่าจะเป็นก้าวแรกในการรื้อสร้างวิมานแห่งความจนของคนแม่ฮ่องสอน

2. ถึงเวลาเดินทาง: การคมมนาคม คือด่านแรกแห่งการพัฒนา 

แม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่เดินไปยากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ความยากลำบากต่อการสร้างและติดปัญหาเรื่องพื้นที่ป่า อย่างไรก็ตาม หากหวังจะรื้อโครงสร้างของวิมานความจนแห่งนี้ การสร้างทางเดินให้พวกเขาสามารถเดินออกมาได้ก็ควรเป็นสิ่งที่ภาครัฐสมควรจะทำมิใช่หรือ? 

สุพจน์ กลิ่นปราณีต ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอนเคยเสนอให้กลับมาเปิดเส้นทางการบินระหว่างกรุงเทพและแม่ฮ่องสอน พร้อมกับอนุญาตให้สายการบิน Low Cost สามารถเข้ามาให้บริการได้ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวในจังแม่ฮ่องสอน22 

แม้จะมีสนามบินอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่กลับมีเพียงสายการบินเดียวที่ได้รับอนุญาตให้บินมาแม่ฮ่องสอน ซึ่งสอดคล้องกับข้อสังเกตของพี่ตังที่ข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า ราคาตั๋วเครื่องบินมาแม่ฮ่องสอนที่แพงมาก ๆ ก็เนื่องจากการอนุญาตให้มีเพียงสายการบินเดียว (การบินไทย) ที่สามารถบินมาลงที่แม่ฮ่องสอนได้ และนักท่องเที่ยวจะเดินทางมาแม่ฮ่องสอนก็เฉพาะช่วงเทศกาล

สุพจน์ ยังเสนอให้ภาครัฐเร่งซ่อมแซมถนนที่เสียหายและเร่งพัฒนาถนนในจังหวัดฮ่องสอนให้มีมากขึ้นและเชื่อมต่อกันมากกว่านี้ ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมเคยทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงข่ายเชื่อมโยงสะเมิง-แม่ฮ่องสอน ในมิติทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวง ตั้งแต่ปี 2547 โดยเสนอแนวทางการสร้างไว้ 3 เส้นทาง ดังนี้ เส้นทาง C1 จากแม่ฮ่องสอน-สะเมิง ระยะทาง 73 กิโลเมตร เส้นทาง C2 จากแม่ฮ่องสอน-สะเมิง ระยะทาง 62.9 กิโลเมตร และเส้นทาง  C3 จากแม่ฮ่องสอน-สะเมิง ระยะทาง 54 กิโลเมตร วันนี้อาจถึงเวลาที่ต้องนำโครงการดังกล่าวกลับปัดฝุ่นศึกษาและนำไปดำเนินนโยบายจริงได้แล้ว

ข้อค้นพบหนึ่งที่น่าสนใจจากการศึกษาของกระทรวงคมนาคม คือ การเสนอให้มีการขุดเจาะอุโมงค์ในบางที่ที่มีความสูงชัน เพื่อแก้ปัญหาความยากลำบากในการก่อสร้างถนน23

นอกจากนั้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เสนอให้เร่งสร้างถนนทั้งภายในจังหวัดและระหว่างแม่ฮ่องสอนกับจังหวัดอื่นๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนแม่ฮ่องสอน และเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เตรียมรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจในแม่ฮ่องสอน

เปิดด่าน เปิดทางให้เป็นเมืองชายแดนเต็มตัว 

ถนนสำหรับคนแม่ฮ่องสอนยังมีบทบาทในการพัฒนาที่ไกลไปกว่าการเชื่อมต่อเศรษฐกิจของจังหวัดแม่ฮ่องสอนกับจังหวัดอื่นๆ ของประเทศไทย แต่ยังหมายถึงการเชื่อมต่อและพัฒนาเศรษฐกิจข้ามชาติอีกด้วย ในการศึกษาเรื่อง การยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านห้วยต้นนุ่น และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดแม่ฮ่องสอน24 โดย ผศ.ดร. บุศรินทร์ เลิศเชาวลิตสกุล ได้เผยให้เห็นความสำคัญและความจำเป็นของการตัดถนน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะเศรษฐกิจบริเวณ “ชายแดน” ซึ่งแม่ฮ่องสอนเรียกได้เลยว่าเป็นจังหวัดชายแดน เนื่องจากทุกอำเภอยกเว้นอำเภอปลายในจังหวัดแม่ฮ่องสอนอยู่ติดกับเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเมียนมา 

การพัฒนาโครงการยกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าให้เป็นด่านผ่านแดนถาวรในบริเวณจุดผ่อนปรนการค้าห้วยต้นนุ่น อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีแนวคิดริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2555 เนื่องจากจุดผ่อนปรนการค้าห้วยต้นนุ่นมีศักยภาพที่จะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของแม่ฮ่องสอนได้ เนื่องจากจุดผ่อนปรนฯห้วยต้นนุ่นสามารถเชื่อมต่อไปยังเมืองสำคัญต่างๆ ของประเทศเมียนมาได้ โดยเฉพาะเมืองสำคัญหลายเมืองในรัฐกะยา และยังสามารถเชื่อมต่อไปจนถึงเมืองเนปิดอว์เมืองหลวงของเมียร์มาได้เช่นกัน 

กระทรวงพาณิชย์ของประเทศเมียนมาได้รายงานถึงมูลค่าการค้าชายแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในบริเวณช่องทางแม่แจ๊ะหรือบ้านมางตรงซึ่งตั้งอยู่ติดกับจุดผ่อนปรนการค้าห้วยต้นนุ่น โดยในระหว่างปี 2559 ถึง 2561 มูลค่าการนำเข้าและส่งออกต่างพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากรัฐกะยาในประเทศเมียนมาเริ่มให้ความสำคัญกับการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ประกอบการประกาศก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่ามูลค่าการค้าจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก 

การยกระดับจุดผ่อนปรนให้กลายเป็นด่านข้ามแดนถาวรยังจะเป็นการใช้ศักยภาพความเป็นเมืองชายแดนของแม่ฮ่องสอน ฉะนั้น หากหวังจะรื้อสร้างวิมานแห่งความจนของคนแม่ฮ่องสอน การเปิดทางให้เศรษฐกิจบริเวณชายแดนเกิดขึ้นได้จริง จึงอาจจะเป็นเสมือนการติดตั้งเครื่องเร่งความเร็วในการพัฒนาเศรษฐกิจของแม่ฮ่องสอน เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับชายแดนในอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก ที่มูลค่าการค้าโดยรวมในบริเวณชายแดนแม่สอดมีสูงกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี25  

นอกจากน้ำมนต์ทั้ง 4 ชนิดที่ผมได้เสนอไป ยังมีน้ำมนต์หรือแนวนโยบายอื่นๆ อีกมากที่รัฐบาลทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นควรเร่งแก้ไข อาทิ การแก้ปัญหาด้านการศึกษา หรือการเร่งมอบสัญชาติให้กับกลุ่มชาติพันธุ์โดยเร็ว เป็นต้น ซึ่งการดำเนินนโยบายเหล่านี้คงอาศัยเวลาและความพยายามเป็นอย่างมาก แต่เพื่อรื้อถอนวิมานแห่งความจนของคนแม่ฮ่องสอน ก็คงถึงเวลาที่ต้องเริ่มลงมือทำกันแล้วล่ะ  

เราจะปล่อยไปให้คนแม่ฮ่องสอนอยู่ในวิมานแห่งความจนแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่?


อ้างอิง

  • [1] คุยเบื้องหลังที่มาศึกชิง ‘วิมานหนาม’ กับ ‘บอส กูโน’ ผู้กำกับ. https://www.youtube.com/watch?v=j56jS9GhCXU&t=5s
  • [2] รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2565  https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=14557 
  • [3] https://maehongson.moc.go.th/th/file/get/file/202403294547c1b4df7539e29e378d32783ee893104249.pdf 
  • [4] ราคาเฉลี่ยจากเว็บไซด์สมาคมพ่อค้าข้าวโพดและพืชพันธุ์ไทย (https://www.thaimaizeandproduce.org) ข้อมูลอัพเดทล่าสุดวันที่ 13 ธันวาคม 2567
  • [5] ข้อมูลจากสำนักงานสถิติจังหวัดแม่ฮ่องสอน (https://maehson.nso.go.th/) 
  • [6] ข้อมูลภาพรวมคนจนเป้าหมายในปี 2565 แม่ฮ่องสอนจากเว็บไซด์ Thai People Map and Analytics Platform ภายใต้การดูแลของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (https://www.tpmap.in.th/2566/58?stateWelfareCard=all) 
  • [7] ดูเพิ่มเติมใน มัชฌิมาศ เขียวคำ. (2563). กรณีศึกษาการใช้ระบบกักเก็บพลังงานชนิดล้อตุนกำลังเพื่อรักษาความถี่ของระบบไฟฟ้าขนาดเล็กแบบแยกโดดของอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน.  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • [8] สรุปรายงานประจำปีจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2566. https://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER7/DRAWER061/GENERAL/DATA0000/00000263.PDF
  • [9] https://www.maehongson.go.th/new/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AE%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5-9/ 
  • [10] ข้อมูลการคมนาคมจากเว็บไซด์จังหวัดแม่ฮ่องสอน (https://www.maehongson.go.th/new/การคมนาคม/)
  • [11] ข้อมูลจากแขวงทางเหลวงเชียงใหม่ที่ 1 (http://chiangmai1.doh.go.th/chiangmai1/content/page/page/36368)
  • [12] ดูเพิ่มเติมใน ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์. (2566). ไฮเวยาธิปไตย : อำนาจของถนนกับพลวัติการคมนาคมขนส่งของประเทศไทย. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
  • [13] ดูการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออกผ่านการตัดถนนสุขุมวิท ใน อำพิกา สวัสดิ์วงศ์. (2545). ถนนสุขุมวิทกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจในภาคตะวันออกของประเทศไทย พ.ศ. 2477-2539. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
  • [14] กกร.แม่ฮ่องสอนเสนอปัญหาเศรษฐกิจ แนะเร่งแก้ระบบคมนาคม. https://thecitizen.plus/node/9182
  • [15] สำรวจภาวะการทำงานของประชากรจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไตรมาส 4/2565. https://maehson.nso.go.th/statistical-information-service/infographic-interactive/infographic/mae-hong-son-province-labor-force-survey-quarter-4-2022.html 
  • [16] ข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประจำปีการศึกษา 2566. https://anyflip.com/duaae/cafw/basic
  • [17] ข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา ปีการศึกษา 2567 สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ กระทรวงศึกษาธิการ ใน https://edustatistics.moe.go.th/school50
  • [18] ดูเพิ่มเติมใน พีระยุทธ์ สุขสมบูรณ์. (2557). สภาพปัญหา และการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่สูง ที่มีความขาดแคลน: กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านอุบโละเหนือ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน. Community and Social Development Journal, 15(1), 27–36.
  • [19] ขจัดช่องว่างการเรียนรู้ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน กรณีศึกษาการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน. https://www.unicef.org/thailand/media/9766/file/Closing%20the%20learning%20gap%20in%20Mae%20Hong%20Son%20TH.pdf
  • [20] ปรีชา พวงสมบัติ. (2558). ปัญหาของบทบัญญัติกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่ดินในจังหวัดแม่ฮ่องสอน. https://library.coj.go.th/th/media/43952/media-43952.html
  • [21] สรุปประเภทการใช้ที่ดิน  จังหวัดแม่ฮ่องสอน  ปี พ.ศ. 2564. http://www1.ldd.go.th/web_OLP/Lu_64/Lu64_N/MSH2564.htm
  • [22] กกร.แม่ฮ่องสอนเสนอปัญหาเศรษฐกิจ แนะเร่งแก้ระบบคมนาคม. https://thecitizen.plus/node/9182
  • [23] อ้างแล้ว
  • [24] บุศรินทร์ เลิศเชาวลิตสกุล. (2567). ด่าน ถนน คนบนพรมแดน: โครงสร้างพื้นฐานชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน. พิษณุโลก
  • [25] นักธุรกิจจับตาชายแดน ‘แม่สอด’ ชี้ ‘การค้า’ เดินหน้าต่อท่ามกลางสงคราม. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1121408
ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย

เกิดและโตในภาคเหนือตอนล่าง เรียนตรีจิตวิทยา กำลังเรียนโทสังคมศาสตร์ สนใจอ่านสังคมจากการมองประเด็นเล็ก ๆ

ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย
ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย
เกิดและโตในภาคเหนือตอนล่าง เรียนตรีจิตวิทยา กำลังเรียนโทสังคมศาสตร์ สนใจอ่านสังคมจากการมองประเด็นเล็ก ๆ

มาตรการลงทะเบียนซิมด้วย Liveness Detection ถูกตั้งคำถาม กระทบคนไร้สัญชาติ–แรงงานข้ามชาติ ‘ตี่ตาง’ ชี้จำกัดสิทธิสื่อสาร แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

จากกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ เเละกิจการโทรคมนาคมเเห่งชาติ (กสทช.) ประกาศใช้เทคโนโลยี Liveness Detection เมื่อวันที่...

พ่อหมอกฤตไท ร้องหยุดดองร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ด้านสภาลมหายใจ เเถลงไม่ควรเอื้อนายทุน

หลังจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ในวาระสามด้วยคะแนนเห็นด้วย 309 เสียง...

ให้คะแนนรัฐบาลอนุทิน ‘สอบตกยกแผง’ แก้ปัญหาน้ำกก–สายรวก–โขงปนเปื้อนโลหะหนัก จากเหมืองแร่ในรัฐฉาน

สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประเมินการทำงานของรัฐบาลไทยในการรับมือปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ระบุว่า ‘สอบตกยกแผง’ พร้อมแจกแจงการประเมินเป็นรายบุคคลต่อผู้นำฝ่ายบริหารสามตำแหน่ง นายกฯ...

Lanner Joy: LOLA Gallery DRIP แรงบันดาลใจจากความฝันเล็กๆ สู่รากกาแฟห้วยตองก๊อที่เติบโตอย่างแข็งแรง

เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ยามบ่ายต้นเดือนพฤศจิกายนที่ลานกว้างของโครงการจริงใจมาร์เก็ต เชียงใหม่ เสียงแจ๊สลอยแผ่วเบาเคล้ากลิ่นกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ เทศกาล Jazz Arabica กลับมาอีกครั้งในปี...