เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 บริเวณหน้าร้านขายสินค้า ชุมชนวัดป่าเป้าริมถนนมณีรัตน์ ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ พบป้ายขอความเห็นใจ อาทิ ค่าเช่าโหดไปโกรธใครมา, ขอความเมตตาอย่าขึ้นค่าเช่าโหด, เมตตาธรรมค้ำจุนโลกไม่มีอยู่จริง, ผู้ว่าช่วยพวกเราด้วย เป็นต้น เรียกร้องขอความเป็นธรรมของชาวบ้านที่เช่าที่ของวัดป่าเป้า หลังเจ้าอาวาสประกาศขึ้นค่าเช่าจากเดือนละ 1,500 บาท เป็น 17,000 บาท
จากการสอบถาม นางทองดี (นามสมมุติ) ชาวบ้านในร้านขายสินค้าบริเวณดังกล่าว ได้ความว่า เดิมที สัญญาก่อนที่จะมีการขึ้นราคาค่าเช่า 1,500 บาทต่อตึกแถว โดยทุกคูหอต้องจ่ายเงินกินเปล่าคูหาละ 500,000 บาท ตั้งแต่ปี 2552 โดยหลังจากหมดสัญญาจะปรับค่าเช่าเป็น 17,000 บาท ทุกคูหา ทั้งหมด 23 ห้อง ซึ่งเป็นที่ธรณีสงที่อยู่ในความดูแลของวัดป่าเป้า โดยนางทองดีกล่าวว่า ตนอาศัยอยู่มาตั้งแต่รุ่นทวด สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
โดยสัญญาดังกล่าวจะครบในเดือน มีนาคม 2567 วัดป่าเป้าจึงได้ส่งทนายความมาสำรวจพื้นที่และยื่นสัญญาเช่าฉบับใหม่ สัญญาฉบับใหม่ระบุว่า ไม่ต้องจ่ายเงินกินเปล่า แต่ขึ้นค่าเช่าจากเดือนละ 1,500 บาทเป็น 17,000 บาท พร้อมจ่ายล่วงหน้า 3 เดือน หลังจากทราบเหตุชาวบ้านเห็นว่าเป็นการขึ้นราคาค่าเช่าเกินเหตุ ซึ่งมีการเจรจาขอลดค่าเช่าเหลือ 5,000 บาท กับทางวัดป่าเป้าแล้วทั้งหมด 2 ครั้งในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา และถูกปฏิเสธในการเจรจาทุกครั้ง ซึ่งมีตัวกลางที่เป็นอดีตรองเจ้าอาวาสเข้ามาเจรจา แต่ทางเจ้าอาวาสไม่ออกมาเจรจาแจ้งว่าเจ้าอาวาสอาพาธและรักษาตัวอยู่ในกุฏิ จึงมีการขึ้นป้ายดังกล่าว
นางทองดี กล่าวเสริมว่าอีกว่า ตนกับผู้เช่าทุกหลัง ไม่เคยมีปัญหากับทางวัดป่าเป้าเลย ที่ผ่านมาก็เข้าไปทำบุญ จำศีลและดำหัวในวัดอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี จึงสร้างความงุนงงเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดทำไมถึงมีการขึ้นค่าเช่า นางทองดียังกล่าวอีกว่า จากการสอบถามของตนกับเพื่อนที่เช่าที่บริเวณวัดล่ามช้าง พบว่า จ่ายแค่ปีละ 60,000 บาท ทั้งหมด 2 ไร่ และหน้าวัดแสนฝางบริเวณประตูท่าแพ เก็บค่าเช่าเพียงเดือนละ 1,000 บาทต่อเดือน
นางทองดี ย้ำว่า ที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบถามกรณีดังกล่าวกับทางชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนเลยเลยนอกจากสื่อมวลชน และตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาระหว่าง 23 คูหากับทางวัด
อ่านในรูปแบบเว็บไซต์
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...