อำเภอท่าปลา-อุตรดิตถ์ กับวัฒนธรรม ที่ยังคงอยู่

Date:

ความน่าสนใจของผู้เขียนนั้น ก็มีความผูกพันกับอำเภอท่าปลาในฐานะของบ้านและถิ่นที่อยู่ที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจ น่าค้นหาว่าที่มาที่ไปของอำเภอท่าปลานั้นร้อยเรื่อง ว่าราวอย่างไรบ้าง พร้อมกับการตั้งคำถามว่าวัฒนธรรมของที่อำเภอท่าปลาเองก็ยังคงอยู่ ไม่หายไปตามกาลเวลา มันเป็นเพราะอะไร?

อาจต้องย้อนกลับไปก่อนว่ากลุ่มบ้านท่าปลานั้นปรากฎขึ้นตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ในอดีตนั้น “ท่าปลา” คือชื่อของกลุ่มบ้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ฝั่งน้ำทิศตะวันตกของแม่น้ำน่าน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงปฏิรูปการปกครอง จึงได้รับการจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน และใช้ชื่อ “ท่าปลา” เป็นชื่อตำบล อำเภอในเวลาต่อมา ก่อนที่ในปีพ.ศ. 2514 ตำบลท่าปลา แบ่งการปกครองเป็น 9 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านบ่อแก้ว หมู่ที่  2 บ้านหาดไก่ต้อย หมู่ที่ 3 บ้านท่าปลา หมู่ที่ 4 บ้านนาโปร่ง หมู่ที่ 5 บ้านล้องดินหม้อ หมู่ที่ 6 บ้านหัวนา หมู่ที่ 7 บ้านย่านดู่ หมู่ที่ 8 บ้านซำบ้อ และหมู่ที่ 9 บ้านห้วยสีเสียด

จากการค้นหาจากเอกสาร “อดีตแห่งความทรงจำของผู้เสียสละชาวอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์” ที่รวบรวมโดยนายจลอม พวนทอง อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 บ้านดงงาม ตำบลจริม ได้ระบุว่า “ท่าปลา” หมายถึงสถานที่รอจับปลาพราะคำว่า “ท่า” ในภาษาถิ่นท่าปลานั้น หมายถึง รอหรือคอย ต่อมาเมื่อชุมชนเกิดการขยายตัว จึงเรียกกลุ่มบ้านนี้ว่า “บ้านท่าปลา” ก่อนจะได้รับการจัดตั้งเป็นหมู่บ้านท่าปลา ตำบลท่าปลา และอำเภอท่าปลาในเวลาต่อมา แน่นอนว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งนั้น เพราะยังคงมีองค์ประกอบของเรื่องเล่า ตำนาน ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้ค้นหาอีกมาก

บ้านตาปลาสู่บ้านท่าปลา

จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่า-ผู้แก่ในพื้นที่อำเภอท่าปลาที่เล่าสืบต่อกันมาว่าชาวบ้านในตำบลทำปลาต่างมีความเชื่อเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของหินแก้วสีมรกตขาวนวลคล้ายตาปลา ชาวบ้านท่าปลาเรียกแก้วชนิดนี้ว่า “แก้วตาปลา” จัดเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ถ้าผู้ใดเก็บไว้บูชาในครอบครัวจะอยู่เย็นเป็นสุข ทำมาค้าขึ้น หรือถ้าพกติดตัวไว้จะเดินทางปลอดภัยแคล้วคลาดจากอันตรายต่าง ๆ จึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านตาปลา” เมื่อเวลาผ่านไปจากบ้านตาปลา จึงเพี้ยนเป็นบ้านท่าปลา โดยแก้วตาปลานี้จะอยู่ในแม่น้ำน่าน บริเวณบ้านบ่อแก้ว โดยแก้วตาปลาจะมีอิทธิฤทธิ์หรือมีความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในวันพญาวัน (ซึ่งตรงกับวันที่ 15 เมษายนของทุกปี)  ดังนั้นเมื่อถึงวันพญาวันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกปี ชาวท่าปลาจะไปร่วมพิธีสกัดเอาแก้วตาปลาขึ้นมาจากใต้น้ำ เพื่อเก็บไว้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แก่ตนเองและเป็นสิริมงคลต่อครอบครัว โดยเรียกพิธีนี้ว่า “ต้องแก้วตาปลา” มาจากเรื่องเล่าว่าเคยเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตเมื่อครั้งที่ “เมืองท่าปลา” ขึ้นกับนครน่าน ขณะนั้นกองทัพพม่าได้ยกมาล้อมเมืองลำปางและหัวเมืองฝ่ายเหนือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 จึงสั่งให้จัดกองทัพเพื่อยกไปตีกองทัพพม่าก่อนจะมาตั้งทัพอยู่ที่เมืองอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่กองทัพพม่าจะเคลื่อนทัพผ่าน กองทัพส่วนหนึ่งได้แยกมาตั้งในท้องที่เมืองท่าปลา โดยกองทัพฝ้ายไทยได้ขัดให้มีการตั้งกองทัพในพื้นที่เมืองท่าปลา 2 กองทัพ กองทัพหนึ่งตั้งอยู่ในป่า เรียกว่า “ทัพป่า” ซึ่งต่อมาเป็นที่ตั้งของกลุ่มบ้านท่าปลา ที่เชื่อว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “ทัพป่า” ส่วนอีกกองทัพหนึ่งเรียกว่า “ทัพหลวง” ตั้งอยู่เหนือบ้าน บ้านคือ ต่อมาเป็นที่ตั้งของกลุ่มบ้าน “ทัพหลวง” เป็นหมู่บ้านหนึ่งของตำบลจริมอำเภอทำปลาในอดีต (สมจริง ตั้งใจจริง,เรื่องเล่าคนเหนือเขื่อน, หน้า89)

อย่างไรก็ตามแม้ที่มาของคำว่า “ท่าปลา” จากที่กล่าวมาข้างต้นไม่สามารถยืนยันได้ว่าแหล่งที่มาใดเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่ต่างก็มีความน่าเชื่อถือเพราะมีหลักฐานยืนยันได้ คือ “ท่าปลา” ที่หมายถึง รอจับปลา นั้นในอดีตช่วงเดือนสาม(กุมภาพันธ์) ของทุกปี ชายชาวท่าปลาจะนำเครื่องมือจับปลาที่รียกว่า “แหป่อง” ไปรวมตัวกันที่แม่น้ำน่านบริเวณหาดผาด เพื่อรอจับปลายี่สกไทยหรือที่ชาวท่าปลาเรียกว่า “ปลาสะเอิน” ซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่น้ำหนัก 30-50 กิโลกรัม ที่จับคู่ว่ายทวนน้ำจากวังน้ำลึก เพื่อขึ้นมาผสมพันธุ์และวางไข่เรื่องความเชื่อที่เชื่อว่า “แก้วตาปลา” เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของชาวท่าปลาที่มีอยู่จริงในแม่น้ำน่านบริเวณบ้านบ่อแก้ว หมู่บ้านในการปกครองของตำบลท่าปลา ส่วนที่มาเรื่องการตั้งทัพรบกันระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพพม่านั้นได้ปรากฎชื่อหมู่บ้าน “ท่าปลา” ที่เชื่อว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “ทัพป่า” โดยมีหมู่บ้านทัพหลวงในการปกครองของตำบลจริมในอดีต เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่รองรับว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริง

ปฏิทินวัฒนธรรมคนท่าปลา

จากพื้นฐานความเชื่อและวิถีชีวิตของคนท่าปลา ที่ดำรงอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ทำให้ชาวท่าปลามีวัฒนธรรมประเพณีที่ยิ่งใหญ่สืบต่อกันมาแล้วหลายชั่วอายุคนเมื่อถึงวันพระหรือมีกิจกรรมทางพุทธศาสนา ชาวท่าปลาจะใช้เสียงกลองใหญ่ที่เรียกว่า “กลองปู่จา” ซึ่งแขวนอยู่ในหอกลองหรือ “โฮงก๋อง”จังหวะหนึ่งเป็นสัญญาณแจ้งเตือน อีกจังหวะหนึ่งตีหรือ “ลานกลอง” ต้อนรับคณะศรัทธาจากวัดอื่นที่มาร่วมทำบุญ นอกจากจะมีกิจกรรมทำบุญตักบาตรในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแล้วยังมีอีกหลายกิจกรรมแต่ต่างจากภูมิภาคอื่น ๆ ที่สื่อถึงความเป็นท่าปลา-ล้านนาได้เป็นอย่างดีสามารถจัดลำดับตามรอบปฏิทินตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปีได้ ดังนี้

ที่มา:http://www.siamfishing.com/content/view.php?id=17713&cat=photo_in&begin=50

1.การจับปลาสะเอิน ของชาวตำบลท่าปลาเกิดขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมเมื่อถึงช่วงเวลานี้ชายชาวตำบลท่าปลาจำนวนหนึ่งจะไปชุมนุมกันที่หาดผาดเหนือวันสงกรานต์พร้อมด้วยแหจับปลาผืนใหญ่กว่าปกติเรียกว่า

“แห่ป่อง”ที่สานขึ้นเป็นพิเศษจากเชือกป่านพร้อมด้วยเลือดควายเพื่อรอจับปลายี่สกไทยหรือชาวท่าปลาเรียกว่าปลา “สะเอิน” ซึ่งเป็นปลาเกล็ดขนาดใหญ่แต่ละตัวมีน้ำหนักประมาณ 30-80 กิโลกรัมตั้งแต่เวลาประมาณ 21:00 น เป็นต้นไปตัวผู้กับตัวเมียจะจับคู่ไหว้ทวนน้ำขึ้นมาจากวังน้ำลึกเพื่อผสมพันธุ์กัน การจับปลาสะเอินนี้นอกจากจะได้ปลาสำหรับนำไปประกอบอาหารและแบ่งปันเพื่อให้เพื่อนบ้านแล้วยังถือเป็นการพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายชาวท่าปลาด้วยกล่าวคือหากชายชาวท่าปลาคนใดมีชื่อเป็นผู้พิชิตปลาสะเอินได้แล้วเขาผู้นั้นจะได้รับการยอมรับว่าเป็นลูกผู้ชายชาวท่าปลาอย่างแท้จริงเหมาะสมที่สาว ๆ ในหมู่บ้านจะเลือกเป็นผู้นำครอบครัวต่อไป

2.ประเพณีปีใหม่หรือสงกรานต์ คือประเพณีที่จัดขึ้นตามวันที่กำหนดไว้ในปฏิทินหรือเป็นการเริ่มต้นใหม่ของชาวอำเภอท่าปลาตามวิถีล้านนาประเพณีสงกรานต์เป็นอีกประเพณีหนึ่งที่ชาวท่าปลาต่างให้ความสำคัญเนื่องจากเป็นประเพณีที่มีองค์ประกอบครบทุกด้านคือการเริ่มต้นปีใหม่รับเอาสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิตปัดเป่าขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ไปพร้อมกับปู่สังขารที่เชื่อกันว่าเดินทางล่องมาจากทางตอนเหนือในวันที่ 13 เมษายนหลังเที่ยงคืนของวันที่ 12 เมษายนเรียกว่าวันสังขารล่องชายชาวท่าปลาจะตื่นขึ้นมาจุดประทัดจุดสะโปกยิงปืนหรืออุปกรณ์ใดๆที่ทำให้เกิดเสียงดังเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆวันรุ่งขึ้น 14 เมษายนเรียกว่าวันเนาหรือวันเน่าเป็นวันเสียห้ามทำการมงคลใดๆห้ามทะเลาะเบาะแว้งด่าทอกันหากใครฝ่าฝืนก็จะพบกับสิ่งที่เป็นอัปมงคลไปตลอดปีทั้งวันนี้จะเป็นวันที่ชาวบ้านขนทรายเข้าวัดเพื่อก่อเจดีย์ทรายและเตรียมการทำขนมและสิ่งของต่าง ๆ ที่จะใช้ในการทำบุญตักบาตรในวันรุ่งขึ้นและในวันที่ 15 เมษายนหรือวันพญาวันถือเป็นเจ้าแห่งวันในรอบปีนั้นมีการส่งน้ำพระพุทธรูปและพระสงฆ์รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ในชุมชนชายชาวท่าปลาที่ต้องการของศักดิ์สิทธิ์คาถาอาคมต่างๆจะถือเอาวันนี้เป็นวันที่รับเอาสิ่งเหล่านี้จากครูบาอาจารย์มาสู่ตนเองเรียกว่า “ป๋งครู” เพราะเชื่อว่าจะมีอิทธิฤทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดประเพณีสงกรานต์หรือปีใหม่นี้นอกจากกิจกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อทางพุทธศาสนาแล้วยังถือเป็นช่วงเวลารื่นเริงของชาวท่าปลามีการละเล่นหลายประเภทที่สร้างความสนุกสนานให้คนในชุมชนเช่นการเล่นสะบ้าเล่นมอญซ่อนผ้าเล่นลูกช่วงเล่นสาดน้ำมีการจัดกลุ่มตระเวนไปตามบ้านเพื่อนบ้านในชุมชนเพื่อดื่มเหล้าหรือน้ำขาวและร้องรำทำเพลง ค่าว จ๊อย กันอย่างสนุกสนานช่วงนี้แต่ละครัวเรือนจึงต้องเตรียมเหล้าน้ำขาวกับแกล้มประจำห้องครัวไว้สำหรับต้อนรับเพื่อนบ้านที่จับกลุ่มมาเยี่ยมบ้านตนซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมาเวลาใดกลางวันหรือกลางคืนตั้งแต่วันที่ 13-18 เมษายนในท้องที่อำเภอท่าปลาซึ่งเต็มไปด้วยสีสันมีเสียงเพลงคละเคล้ากับเสียงปรบมือเสียงกลองฉิ่งฉาบเสี่ยงช้อนเคาะถ้วยจานประกอบจังหวะมีเสียงเฮฮาโห่ฮิ้วตามลานบ้านกองเชียร์หรือผู้เล่นสะบ้าเมื่อตนเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้หรืออาจจะมีบางที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันของสมาชิกในชุมชนคุมสติไม่ได้ซึ่งอาจเกิดการดื่มเหล้าเกินขนาดหรือกินเหล้าหลงแป่ง-ผิดครูซึ่งอาจจะสำแดงออกมาด้วยท่าทางต่างๆตามของดีหรือคาถาอาคมที่ตนมีหรืออาจจะถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งกับคนในชุมชนหรือคนต่างถิ่นตามแบบฉบับของชายชาตรีมีของมีครูแต่ก็ไม่ทำให้คนในชุมชนเกิดความแตกแยกแต่ความสามัคคีกันแต่อย่างใด

ที่มา : https://www.facebook.com/Thapla.Life/posts/1256163254478097/

3.การต้องแก้วท่าปลา เป็นประเพณีเฉพาะของชาวตำบลท่าปลาเกิดขึ้นทุกวันที่ 15 เมษายนหรือวันพญาวันซึ่งชาวตำบลท่าปลาเชื่อกันว่าเป็นวันที่แก้วท่าปลามีความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดวันนี้ของทุกปีชาวบ้านท่าปลาและเพื่อนบ้านใกล้เคียงจะไปรวมตัวกันที่ริมฝั่งแม่น้ำน่านบ้านบ่อแก้วเพื่อร่วมพิธีสกัดเอาหินแก้วท่าปลาขึ้นมาจากใต้น้ำแล้วแจกจ่ายให้กับผู้เข้าร่วมพิธีนำไปเป็นเครื่องรางของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวหรือเก็บไว้เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวเพราะต่างเชื่อว่าผู้ใดมีแก้วท่าปลาไว้ในครอบครองจะอยู่เย็นเป็นสุขทำมาค้าขึ้นด้านชาวบ้านผาเลือดจะถือเอาวันที่ 19 เมษายนของทุกปีทำพิธีสรงน้ำ “เจ้าปู่อาชญาหลวง” พร้อมบริวารซึ่งเป็นผีอาญาที่ชาวบ้านผาเลือดนับถือมากมีการเล่นดนตรีสะล้อซอซึงถวายเจ้าปู่และขับกล่อมผู้มาร่วมงานพร้อมทั้งอัญเชิญเจ้าปู่เข้ามาประทับร่าง “นางทรง” ชาวผาเลือดที่เข้าร่วมหรือเรียกว่า “ลูกข้าว-ลูกแป้ง” ก็จะถามไถ่เรื่องต่างๆเป็นปริมาณน้ำฝนประจำปีนั้นๆความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองทำให้เจ้าปู่และบริวารปกปักรักษาพวกตนให้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นต้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยการร่วมกันสรงน้ำพร้อมกับเปลี่ยนพวงมาลัยใหม่ที่ศาลเจ้าปู่ต่อไป

4.ประเพณีขึ้นธาตุ เกิดขึ้นกลางเดือนพฤษภาคมหรือทุกวันเพ็ญเดือน 6 ของทุกปีชาวตำบลท่าปลาและตำบลใกล้เคียงจะมาชุมนุมกันเพื่อส่งน้ำและจุดบอกไฟบูชาพระธาตุวัดตีนดอยที่ตั้งอยู่บนยอดดอยสูงเหนือวัดตีนดอยขึ้นไปประมาณ 200 เมตรมีวัตถุประสงค์สำคัญคือเพื่อให้องค์พระธาตุเกิดความชุ่มเย็นหลังจากตากแดดตากลมมาตลอดทั้งปีส่วนการจุดบอกไฟหรือจิบอกไฟนั้นเป็นการส่งสัญญาณให้เทวดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ทราบว่าบัดนี้ย่างเข้าสู่ฤดูกาลเพราะปลูกพืชผลทางการเกษตรแล้วขอให้เทวดาประทานน้ำฝนลงมาบนโลกมนุษย์การจุดบอกไฟนั้นนอกจากวัตถุประสงค์ในเบื้องต้นแล้วยังเป็นกิจกรรมการสร้างความสนุกสนานแก่ผู้มาร่วมงานเป็นอย่างมากถือเป็นกิจกรรมสุดท้ายก่อนเข้าฤดูการผลิตเข้าสู่งานไร่งานนาของชาวท่าปลาตามธรรมเนียมวันนี้จะอนุโลมให้มีการพูดหยอกล้อกันโดยมากเป็นคำหยาบผ่านคำเซิ้งบอกไฟโดยไม่มีความโกรธเกลียดกันซึ่งกันและกันยังถือเป็นการประชันฝีมือกันของช่างทำบอกไฟแต่ละบ้านโดยมีเกียรติและศักดิ์ศรีของแต่ละบ้านย่านนั้นเป็นเดิมพันเนื่องจากบอกไฟแต่ละบ้านจะมีสูตรลับเฉพาะตามตำราของบ้านนั้นๆเช่นตำราแม่หม่ายติ้วซิ่นตำราแหงนดูดาว ตำราช้างล่วงขอ เป็นต้น

ที่มา : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

5.ประเพณีการแห่ผีตลก – ผีขน เกิดขึ้นช่วงเทศกาลออกพรรษาคือช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ชาวท่าปลาเรียกสิ่งประดิษฐ์ที่มีลักษณะคล้ายหัวโขนแต่งแต้มสีให้ดูน่าเกลียดน่ากลัวแตกต่างกัน โดยชาวตำบลท่าปลาเรียกว่า “หัวผีตลก” ส่วนชาวตำบลท่าแฝกและตำบลหาดล้าบางส่วน เรียกว่า “หัวผีขน” แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือเป็นประเพณีที่ชาวตำบลท่าปลาและตำบลหาดล้าบางส่วนถือปฏิบัติสืบทอดกันมานานแล้ว โดยมีความเชื่อเกี่ยว กับนรก สวรรค์ การทำบุญทำทานตามพระพุทธศาสนาให้กับผีเปรต ผีนรก ที่หิวโหยต้องการอาหารยังชีพโดยการขอส่วนบุญจากมนุษย์ จนกว่าจะใช้หนี้กรรมหมดสิ้นเพื่อจะได้ไปเกิดในชาติภพใหม่ต่อไป

โดยผู้ชายที่จะสวมหัวผีตลกหรือผีขนนั้น จะต้องเข้าร่วมพิธีกรรมสวมหัวผีในป่าช้าจึงจะสามารถร่วมขบวนแห่ได้ ส่วนดอกไม้ ต้นกล้วย ต้นอ้อย ต้นกุ๊กต้นข่าที่แห่ไปนั้นก็เพื่อนำไปตกแต่งวิหาร ศาลาการเปรียญให้เสมือนป่าหิมพานต์ ระหว่างทางจะมีการตีฆ้อง ตีกลอง กระตุ้นให้เกิดความสนุกสนานครื้นเครงเชิญชวนชาวบ้านร่วมทำบุญบริจาคทาน วัตถุปัจจัยต่าง ประเพณีการแห่ผีตลก-ผีขนมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ การสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน แสดงให้พุทธศาสนิกชนเห็นว่าเมื่อทำชั่วแล้วจะไปเกิดเป็นผีเปรต ผีนรกหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวต้องเป็นทุกข์เที่ยวขอส่วนบุญส่วนกุศลกับชาวบ้าน เป็นการเตือนสติคนให้ละเวันความชั่ว ประกอบแต่ความดีนั่นเอง

6.ประเพณีตานก๋วยสลาก หรือประเพณีถวายทานสลากภัต จะทำกันตั้งแต่วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เหนือ (ช่วงเดือนกันยายน) จนถึงวันแรม 14 ค่ำ เดือนเกี๋ยงหรือวันเกี๋ยงดับ (ช่วงเดือนตุลาคม) เป็นประเพณีที่คนท่าปลาและคนล้านนาจะระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ด้วยการทำบุญด้วย “ก๋วยสลาก” โดยสามารถแบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้

(1) ก๋วยน้อย คือ ภาชนะคล้ายชลอมขนาดเล็ก (เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 นิ้ว) สานด้วยตอกไม้ไผ่รองหรือถุ๊ด้วยใบตองพลวง (ปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์) บรรจุน้ำ อาหารแห้ง (ข้าวสาร เกลือ พริก หอม กระเทียม ฯ) อาหารปรุงสุกจำพวกข้าวเหนียว ห่อหมก (ห่อนึ่ง) ปลาแห้ง เนื้อแห้ง ฯ ข้าวต้มมัดและผลไม้ตามฤดูกาล มัดรวบปากก๋วยแล้วตกแต่งยอดก๋วยด้วยดอกไม้ ที่หาได้ในท้องถิ่นในช่วงเวลานั้น เช่น ดอกหงอนไก่ ดอกดาวเรือง ใบเตย เป็นต้น

(2) ก๋วยอุ้ม คือ ก๋วยลักษณะเดียวกับก๋วยน้อยแต่มีขนาดใหญ่กว่า (เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 นิ้ว) บรรจุสิ่งของเช่นเดียวกับก๋วยน้อย แต่จะนำกิ่งไม้ เช่น กิ่งมะขามปลายต้นไผ่ มาทำเป็นยอดก๋วยเพื่อแขวนสมุด ดินสอหรือของใช้อื่น ๆ พร้อมด้วยปัจจัยต่างๆ ตามกำลังศรัทธา

(3) สลากหลวง คือ สลากที่สร้างเป็นบ้านจำลองยกพื้นสูง ตกแต่งให้สวยงามด้วยกระดาษสี บรรจุของ เช่นเดียวกับก๋วยสองชนิดในเบื้องต้น แต่เพิ่มเติมเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆเข้าไป นอกจากนี้เพื่อนบ้านจะมาร่วม สมทบเงินปัจจัยทำบุญด้วย เดิมนั้นคือสลากที่คนทั่วไปในชุมชนทำขึ้นอุทิศไปหาผู้ล่วงลับตามปกติ แต่ปัจจุบัน

ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวที่มีสามเณร-พระที่เคยบวชแล้วสึกหรือยังบวชจำพรรษาวัดนั้น ๆ เป็นผู้ทำขึ้น

(4) สลากก้างบุหรี่ คือ สลากที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่ แขวนหรือประกอบด้วยมวนบุหรี่ผูกเป็นแพ เงินปัจจัย ของใช้ประจำวันเช่น สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน หวี สมุด ดินสอ เสื้อผ้า ผ้าขาวม้า เป็นต้น สลากก้างบุหรี่เป็นสลากที่ต้องอาศัยระยะเวลาในเตรียมการ โดยเฉพาะการมวนบุหรี่และต้องใช้งบประมาณจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่คนที่ตานสลากก้างบุหรี่จึงค่อนข้างเป็นผู้มีฐานะทางการเงินดีหรือต้องการบุญใหญ่ ตามความเชื่อของคนล้านนาที่ว่า “ทานน้ำเป็นเศรษฐี ทานบุหรี่เป็นสะค่วย” คำว่า สะค่วย หมายถึง ผู้ที่มั่งคั่งนั่นเอง

ประเพณีในปีนั้น ๆ โดยแยกเป็น 2 กอง คือ ใบสลากก๋วยอุ้มกับใบสลากก๋วยน้อย ก่อนจะผสมใบสลากแต่ละกองเรียกว่า “สูนใบสลาก” เพื่อให้ใบสลากของแต่ละครอบครัวแยกจากกัน หลังเสร็จพิธีทางศาสนาพระสงฆ์ที่มาร่วมงานฉันเพลแล้ว คณะกรรมการวัดจึงนำใบสลากก๋วยน้อยแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่มาร่วมงาน นำไปอ่าน ให้เจ้าของก๋วยสลากฟังด้วยสียงอันดังและอกเสียงเป็นสำนียงท่าปลาส่วนใบก๋วยอุ้ม สลากหลวงและสลากก้างบุหรี่นั้น นำไปเฉลี่ยแจกจ่ายให้พระสงฆ์ที่มาร่วมทำพิธี เพื่อนำไปกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับ ที่ระบุไว้ในใบสลากนั้น ๆ

นี่อาจจะเป็นเพียง ‘ส่วนหนึ่ง’ เท่านั้นที่ผู้เขียนสามารถรวบรวมออกมาเพื่อสื่อสารได้ แม้จะไม่ได้คำตอบที่ว่า ทำไมวัฒนธรรมถึงไม่หายไปตามกาลเวลา? ในขณะที่สังคมหมุนเวียนเปลี่ยนไป สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนมักจะได้ยินอยู่อย่างสม่ำเสมอจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่า “ยังอยากจะคงหลงเหลือไว้ให้ลูกหลานชาวท่าปลาได้เห็นได้สืบทอดต่อ ๆ ไปในอนาคต และอยากให้ผู้คนทั้งประเทศได้รู้จัก” ก็อาจจะช่วยการันตีบางอย่างได้ว่าอาจเพราะแบบนี้ อาจเพราะว่ายังคงมีคนส่งผ่านรุ่นแล้วรุ่นเล่าไม่เสื่อมหายไปไหน


อ้างอิง

  • จลอม พวนทอง, เอกสาร”อดีตแห่งความทรงจำของผู้เสียสละชาวอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์”
  • สมจริง ตั้งใจจริง, เรื่องเล่าคนเหนือเขื่อน, หน้า 89.
  • สมชาย ธรรมใจ, ศิริวัฒน์ จันต๊ะ “ประเพณีวัฒนธรรมที่โดเด่นของคนท่าปลา”หน้าที่ 40-47.

บทความนี้เป็นผลงานผู้เข้าร่วมโครงการ Activist Journalist ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิสื่อประชาธรรม (Prachatham Media Foundation) และสำนักข่าวลานเน้อ (LANNER News Media) โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Citizen Accountability for Local governance Media (CALM)

อติเทพ วิสุมา

ปมดับปริศนา ‘พลทหารราเชน ยวามื่อ’ ในค่ายพิษณุโลก คนใกล้ชิดตั้งข้อสงสัย หลังเกิดเหตุไฟดับ–กล้องเสีย

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross-Cultural Foundation) เปิดเผยว่าได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารราเชน...

กลุ่มรักษ์เชียงของยื่นฟ้องนายกฯ–กฟผ. ปมเขื่อนปากแบง หวั่นแม่น้ำโขงกลายเป็น ‘อ่างตะกอนพิษ’

12 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มรักษ์เชียงของ พร้อมประชาชน นักวิชาการ และทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ฟ้องนายกรัฐมนตรี...

ทหารเกณฑ์ดับในค่ายพิษณุโลก มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจี้สอบเหตุละเมิดสิทธิ

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารเกณฑ์รายหนึ่งเสียชีวิตภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก หลังเข้ารับการฝึกเพียงไม่ถึง 10...

เครือข่าย กก สาย รวก โขง ยื่น 5 ข้อ แก้ปัญหาน้ำปนสารพิษ ด้านรัฐบาลยืนยันยุติโครงการฝาย

ภาพ: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต 11 พฤศจิกายน 2568 ที่หอประชุมคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย  การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300...