สถานการณ์การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ภายหลังเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียงจากหลานถึงลุง (ฮุนเซน) ส่งผลให้ตำแหน่งผู้นำประเทศว่างลง จนเกิดศึกชิงเสียงจัดตั้งรัฐบาลใหม่ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย โดยมีพรรคประชาชนซึ่งครองเสียง 142 เสียง เป็นผู้กำหนดทิศทาง
วันที่ 3 กันยายน 2568 พรรคประชาชนประกาศมติสนับสนุน อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ขั้วภูมิใจไทยสามารถรวมเสียงในสภาได้ถึง 288 เสียง ด้านพรรคเพื่อไทยพยายามตอบโต้ด้วยการให้ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ยื่นทูลเกล้าฯ ขอพระราชกฤษฎีกายุบสภา แต่ไม่ผ่านการพิจารณา ล่าสุดถัดมาในวันนี้ 4 กันยายน 2568 พรรคเพื่อไทยยืนยันจะเสนอชื่อ ชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการโหวตวันที่ 5 กันยายน พร้อมประกาศว่า หากได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาล จะยุบสภาทันทีหลังถวายสัตย์ปฏิญาณและแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เปลี่ยนแทบจะนาทีต่อนาที Lanner ได้สำรวจเสียงประชาชนในภาคเหนือ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าคนภาคเหนือมองเกมอำนาจในสภาที่กำลังชี้ชะตาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้อย่างไร

ติรยา ผลวัฒนะ อายุ 24 ปี จากจังหวัดเชียงใหม่เผยว่า การตัดสินให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรม เนื่องจากเป็นการตัดสินที่ไม่ได้มาจากความเห็นของประชาชน
อีกทั้งยังไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคประชาชนมีมติสนับสนุน อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เนื่องจากมองว่าผลงานและทัศนคติการทำงานในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงโควิดแล้วนั้น ไม่สมควรกับการเป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนทางออกในตอนนี้มองว่าต้องยุบสภาเท่านั้น เพราะตัวเลือกพรรคไหนก็ไม่เหมาะสมในตอนนี้ การเริ่มต้นใหม่โดยให้ประชาชนเป็นคนเลือกจะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และสุดท้ายอยากฝากถึงผู้ที่มีอำนาจให้มองความทุกข์ยากของประชาชน เนื่องจากหลายปัญหายังไม่ถูกแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหาสารพิษข้ามพรหมแดน ปัญหาทางเศรษฐกิจ ฯลฯ
“อยากให้เห็นใจประชาชนจริงๆ ไม่ต้องเป็นรัฐบาลที่ดีเลิศแต่แค่เป็นรัฐบาลที่ทำหน้าที่ของรัฐบาลก็เพียงพอแล้ว” ติรยา กล่าว

อภิชาต พรหมเทศ อายุ 37 ปี จากจังหวัดพะเยาเปิดใจกับ Lanner ว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้แพทองธาร ชินวัตร พ้นออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่ศาลท่านเห็นชอบแล้ว ถือว่าคำตัดสินเป็นที่สิ้นสุดและควรเป็นบรรทัดฐานในกรณีอื่นๆ
อีกทั้งยังเห็นด้วยกับพรรคประชาชนในการสนับสนุนให้ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เนื่องจากถือว่าพรรคเป็นตัวแทนของประชาชน ขณะเดียวกันพรรคก็ต้องดำเนินการอยู่ในกรอบของความเป็นประชาธิปไตย และไม่ควรมีผลประโยชน์แอบแฝง แต่หากมีการยุบสภาเกิดขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินเลือกผู้นำประเทศกันใหม่
ทั้งนี้ ข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยที่ประกาศต่อสาธารณะ มีสาระสำคัญ 5 ข้อ ได้แก่ นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา, ต้องเร่งเดินหน้าสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง, ห้ามเปลี่ยนเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในระหว่าง 4 เดือนดังกล่าว และพรรคประชาชนจะยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านโดยไม่มีตัวแทนไปนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งถูกมองว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะใช้ตรวจสอบและสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลใหม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา โดยอภิชาติในฐานะประชาชนก็ควรติดตามข้อตกลงนี้ต่อไป
“ถึงจะสนับสนุนในการจัดตั้งเป็นรัฐบาลใหม่ แต่สิ่งที่อยากให้ติดตามก็คือเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อที่ได้ตกลงกันไว้ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย” อภิชาติ กล่าว

สมโรจน์ สำราญชลารัตน์ ชาวจังหวัดแพร่ อายุ 63 ปี เผยว่า ถ้ามองแบบคนทั่วไปก็รู้สึกไม่พอใจกับกรณีคลิปเสียงที่หลุดออกมา และการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินก็ถือว่าเป็นการตรวจสอบการทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมโรจน์ยังมองว่ารัฐบาลชุดนี้แม้จะบอกว่าเป็นรัฐบาลรุ่นใหม่ ทำงานเพื่อคนรุ่นใหม่ แต่ลึกๆ ยังมีการบริหารประเทศแบบนักการเมืองหัวเก่า
ส่วนการตัดสินใจของพรรคประชาชนตนมองว่า หัวหน้าพรรคประชาชน กรรมการพรรคทุกท่าน และสมาชิกพรรคที่มีการออกความคิดเห็นทั่วประเทศถูกต้องแล้ว ส่วนการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่สุดในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตนก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง และควรทำโดยเร็วที่สุด
สมโรจน์ยังทิ้งท้ายไว้ว่า สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันถือว่าไม่แตกต่างจากสถานการณ์การเมืองที่บริหารโดยพรรคเพื่อไทยในอดีต เพราะคิดเรื่องผลประโยชน์หรือการพัฒนาที่ตนเองคิดว่าถูกต้องแล้วไม่ฟังใคร ไม่สนกติกาบ้านเมือง จนนำไปสู่การฟ้องร้องศาลรัฐธรรมนูญและยังมีเรื่องการฟ้องร้องในศาลอาญาคิดว่าประเด็นอย่างนี้เกิดจากกลุ่มการเมืองที่หวังผลประโยชน์เข้าพรรคพวกเข้ากระเป๋าตนเองจึงไม่หันมามองความรู้สึกของประชาชนจะเป็นเสียข้างน้อยหรือเสียงข้างมากก็ตามโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่ถูกศาลตัดสินไปไม่สนใจแม้คำถามของสื่อมวลชน
“ในฐานะประชาชนมองว่าภายใต้สถานการณ์การเมืองที่เหมือนเดิมเช่นนี้ ในอนาคตก็ยังคงเกิดเหมือนเดิม ถ้าจะดีก็คงดีขึ้นเล็กน้อย ประชาชนจะเห็นความหวังบ้างเล็กน้อยในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง ส่วนหลังจากนั้นก็คงเหมือนเดิม” สมโรจน์ กล่าว

กิตติพศ บำรุงพงษ์ ชาวจังหวัดพิษณุโลกวัย 25 ปี เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของพรรคประชาชนที่สนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ส่วนตัวอาจไม่ได้พอใจนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น ทั้งการไม่เลือกเลยหรือกลับไปเลือกพรรคเพื่อไทย ก็ยิ่งทำให้ประชาชนไม่สามารถจินตนาการถึงอนาคตประเทศได้ อีกทั้งการที่พรรคเพื่อไทยผิดคำพูดและมีกรณีคลิปเสียงหลุด ยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่น การเลือกนายอนุทินจึงเป็นอีกทางเลือกใหม่ที่อย่างน้อยเป็นการลองให้ความเชื่อมั่นครั้งแรกตามเงื่อนไขที่พรรคประชาชนเสนอ
ส่วนทางออกจากวิกฤตการเมืองในเวลานี้ เห็นว่าการยุบสภาเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด เพราะที่ผ่านมาประเทศเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายคน แต่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมากของประชาชนโดยตรง การเลือกตั้งใหม่จึงเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนและป้องกันไม่ให้ประเทศเดินไปสู่ทางตัน อีกทั้งยังเป็นการยืนยันว่าประชาธิปไตยต้องแก้ปัญหาผ่านระบบสภา ไม่ใช่ด้วยการเข้ามาของทหารหรืออำนาจนอกระบบ
“สิ่งสำคัญคือเราต้องกลับมาเชื่อมั่นในระบบสภา ไม่ใช่ยกบทบาทให้ทหารหรืออำนาจเผด็จการ เพราะทางออกของประเทศต้องอยู่ที่ประชาชน” กิตติพศ กล่าว
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...