ครอบครัวผู้ถูกบังคับให้สูญหาย-องค์กรสิทธิจัดรำลึกวันผู้สูญหาย สะท้อนปัญหาหลัง พ.ร.บ.อุ้มหาย ไร้ความคืบหน้าในหลายคดีแม้บังคับใช้ปีกว่า

Date:

ครอบครัวของผู้ถูกบังคับให้สูญหายร่วมกับองค์กรสิทธิมนุษยชนจัดแถลงข่าวเนื่องในวันแห่งการรำลึกถึงผู้ถูกบังคับสูญหายสากล สะท้อนปัญหาหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปรามปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายปีกว่าแล้วแต่หลายคดีกลับไม่คืบ  “อังคณา” ระบุยังไม่เห็นความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตามหาตัว “ทนายสมชาย” อีกทั้ง กรรมการตาม พ.ร.บ. ที่ตั้งขึ้นก็ไม่เคยรับฟังครอบครัวทั้งที่กฎหมายระบุให้สืบสวนจนทราบที่อยู่และชะตากรรม และรู้ตัวผู้กระทำผิด ในขณะที่ครอบครัวคนหายต่างถูกคุกคามมาโดยตลอด  พร้อมระบุ “อุ๊งอิ๊ง”ลูกสาวทักษิณได้เป็นนายกแล้วจะคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัวผู้ถูกอุ้มหายอย่างไร  ขณะที่ “มึนอ” ระบุการสูญหายของ “บิลลี่”คดียังอยู่ในศาลอุทธรณ์ ขอกฎหมายอุ้มหายอย่าใช้เงื่อนเวลามาจำกัดในการเข้ามาสอบสวน ด้าน “สีละ”นักปกป้องสิทธิฯลาหู่ เผยในพื้นที่โดนอุ้มหาย-ซ้อมทรมาน 20 คน วอนรัฐเยียวยาครอบครัวเหยื่อเป็นรูปธรรม  พร้อมร่วมกันชง  7 ข้อเรียกร้องให้นายกคนใหม่ เปิดเผยความจริงคืนความเป็นธรรมและชดใช้เยียวยาให้แก่ครอบครัวผู้ถูกบังคับให้สูญหาย

ที่ห้องประชุมสำนักงานกลางคริสเตียน ราชเทวี วันนี้ (30 ส.ค. 67) ครอบครัวของผู้ถูกบังคับให้สูญหายร่วมกับมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ องค์กร Protection International และมูลนิธิ forum Asia จัดงานแถลงข่าวเนื่องในวันแห่งการรำลึกถึงผู้ถูกบังคับสูญหายสากล โดยปีนี้ จัดภายใต้ชื่อ “Faces of the Victims: A Long Way to Justice” ใบหน้าของเหยื่อ: เส้นทางที่ยาวไกลสู่ความยุติธรรม เพื่อทวงถามความคืบหน้าและยื่นข้อเรียกร้องต่อการแก้ปัญหาคนหายของรัฐไทย หลังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 เป็นเวลาปีกว่า โดยมีอังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน อดีตสมาชิกคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการสูญหายโดยถูกบังคับ (WGEID) วุฒิสมาชิก และภรรยาของทนายความด้านสิทธิมนุษยชนที่ถูกบังคับสูญหาย สมชาย นีละไพจิตร Shui Meng ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและภรรยาของสมบัด สมพอน ผู้นำภาคประชาสังคมลาวที่ถูกบังคับสูญหายในปี 2012 พิณนภา พฤกษาพรรณ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสตรี และภรรยาของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง พอละจี “บิลลี่” รักจงเจริญ  สีละ จะแฮ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชนเผ่าลาหู่ และญาติของเหยื่อจากการบังคับสูญหายชาติพันธ์ลาหู่ เข้าร่วมในการแถลงข่าวครั้งนี้

“มึนอ” ต้องการให้คดีของ “บิลลี่” เข้าสู่การสอบสวนหาความจริงตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหาย ฯ โดยไม่มีเงื่อนไขของเวลาเกิดเหตุมาเป็นข้อจำกัดในการสอบสวน

พิณนภา กล่าวว่า แม้จะผ่านมาปีกว่าแล้วหลังจากที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายบิลลี่ก็ยังคงไม่ได้รับความเป็นธรรม ภายหลังที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. นี้ ตนได้เข้าประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งและได้สอบถามว่าคดีของบิลลี่สามารถใช้ พ.ร.บ. นี้มาสืบสวนหาผู้กระทำความผิดได้ด้วยหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ตอบว่าไม่ได้เพราะคดีของบิลลี่เกิดก่อนที่จะมี พ.ร.บ. ฉบับนี้ และหากจะให้คดีของบิลลี่เข้าสู่การสอบสวนของ พ.ร.บ.ฉบับนี้จะต้องมีหลักฐานใหม่ขึ้นมาพิสูจน์ ซึ่งที่ผ่านมาครอบครัวก็ได้ดำเนินการทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่รู้จะหาหลักฐานใหม่อะไรมาให้เจ้าหน้าที่อีก ทั้งที่ในความเป็นจริงบิลลี่ยังเป็นบุคคลสูญหายและคดียังอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลอุทธรณ์อยู่เลย คดีของบิลลี่ยังไม่สิ้นสุด พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงควรที่จะทำหน้าที่ให้กับครอบครัวของผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหายโดยไม่มีเงื่อนไขของเวลาเข้ามาเป็นข้อจำกัดให้ครอบครัวเข้าถึงความยุติธรรม

นักปกป้องสิทธิชาติพันธ์ลาหู่เปิดข้อมูล 20 ครอบครัวที่ถูกอุ้มหายยังไม่ได้รับความยุติธรรมหรือการเยียวยา พร้อมสะท้อนผ่านมาปีกว่าคณะกรรมการตาม พ.ร.บ. ป้องกันการอุ้มหายยังไม่ได้ทำงานสืบสวนเชิงลึกในการแก้ไขปัญหาหรือเยียวยาเหยื่อ

ด้านสีละ กล่าวว่า  พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฉบับนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยหนึ่งในหน้าที่ของคณะกรรรมการชุดนี้คือจะต้องตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทรมาน การทำให้บุคคลสูญหาย รวมทั้งรับและติดตามตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆ ด้วย แต่ตนยังไม่เคยเห็นคณะกรรมการชุดนี้มาลงพื้นที่หรือเข้ามาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวผู้สูญหายหรือติดตามแก้ไขปัญหาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตนอยากให้คณะกรรมการชุดนี้ทำงานเชิงรุกลงพื้นที่สอบสวนข้อเท็จจริงให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวอย่างเป็นรูปธรรมด้วย

สีละยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในอดีตที่ผ่านมามีพี่น้องชาติพันธ์ลาหู่ถูกอุ้มหายและถูกซ้อมทรมานเป็นจำนวนมาก และที่ตนเรียกร้องความเป็นธรรมมาโดยตลอดคือกรณีของพี่น้องชาติพันธ์ลาหู่ไม่ต่ำกว่า   20 คนที่ถูกทำให้สูญหาย และมากว่า 50 คนที่ถูกซ้อมทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งหนึ่งในนั้นมี จะฟะ จะแฮ หลานชายของตนที่มีอายุเพียงแค่ 14 ปี ด้วย

“ ผมเรียกร้องเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่ยังไม่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้ ถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผมเคยทำหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่ง กสม.ได้มีหนังสือส่งต่อไปที่รัฐสภา และรัฐสภาได้มีหนังสือไปถึงกระทรวงกลาโหม กองทัพบก ให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเยียวยาเหยื่อ แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม  ผมมีความหวังว่าหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้พี่น้องชาติพันธ์ลาหู่ที่ถูกบังคับให้สูญหายจะได้รับความเป็นธรรมแต่ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น จึงอยากเรียกร้องให้คณะกรรมการตามพ.ร.บ.ฉบับนี้ทำความจริงให้ปรากฎด้วย“  นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชนเผ่าลาหู่ และญาติของเหยื่อจากการบังคับสูญหายชาติพันธ์ลาหู่กล่าว

ภรรยา “สมบัด สมพอน” นักพัฒนาชาวลาวที่ถูกบังคับให้สูญหาย ยังไม่ยอมแพ้หรือสิ้นหวังในการหาความจริงต่อการหายตัวไปของสามีแม้เวลาจะผ่านมานาน 10 ปีแล้ว

ขณะที่ Shui Meng  กล่าวว่า ผ่านมาแล้วกว่า 10 ปีที่สมบัดถูกบังคับให้สูญหายที่หน้าป้อมตำรวจที่เวียงจันทน์  โดยไม่มีข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสมบัดเลย ความหวังที่จะได้พบเขาอีกครั้งยิ่งห่างไกลออกไป และความกลัวที่จะไม่มีวันได้รู้ความจริงและความยุติธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ในฐานะภรรยาและเหยื่อ ตนจะไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวัง ไม่ว่าสถานการณ์จะดูสิ้นหวังเพียงใด ตนจะต้องค้นหาความจริงต่อไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย ตนเป็นหนี้ความยุติธรรมให้กับคุณสมบัด และต่อเหยื่ออื่นๆ ของการบังคับให้สูญหาย อาชญากรรมและความอยุติธรรมเช่นนี้ต้องยุติลง

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันไม่ได้มองตัวเองเพียงว่าเป็นเหยื่อของการบังคับให้สูญหายเท่านั้น ใช่ ฉันเป็นเหยื่อและยังคงเผชิญกับความสูญเสียและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสมบัด  แต่ฉันได้เรียนรู้ว่าการทนทุกข์อย่างเงียบๆ ไม่ใช่ทางเลือก ฉันต้องบอกเล่าเรื่องราวของสมบัดให้โลกได้รับรู้ และต้องพูดออกมาต่ออาชญากรรมและความอยุติธรรมของการบังคับให้สูญหาย การรักษาความเงียบจะไม่ช่วยหยุดการบังคับให้สูญหาย แต่มันจะทำให้ผู้กระทำผิดกล้าทำอาชญากรรมเหล่านี้ต่อไป”ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและภรรยาสมบัด สมพอน นักพัฒนาชาวลาวที่ถูกบังคับสูญหายในปี 2012 กล่าว

“อังคณา” ชี้ทนายสมชายสูญหายในรัฐบาลทักษิณและผ่านมา 20 ปีแล้วแต่คดีกลับไม่มีความก้าวหน้า พร้อมถาม “อุ๊งอิ๊ง”ลูกสาวทักษิณได้เป็นนายกแล้วจะคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัวผู้ถูกอุ้มหายอย่างไร  ชำแหละคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย ไม่เคยรับฟังและช่วยตามหาบุคคคลสูญหายให้กลับคืนสู่ครอบครัวทั้งที่ กม.ให้อำนาจไว้ว่าสามารถทำได้

ขณะที่อังคณาระบุว่า คดีสมชายผ่านมากว่า 20 ปี โดยไม่มีความก้าวหน้า เพราะรัฐไม่มีเจตจำนงทางการเมืองในการเปิดเผยความจริง และนำคนผิดมาลงโทษ  แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมี พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย รวมถึงการให้สัตยาบันอนุสัญญา แต่ยังไม่เห็นความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตามหาตัวสมชาย กรรมการตาม พ.ร.บ. ที่ตั้งขึ้นก็ไม่เคยรับฟังครอบครัวทั้งที่กฎหมายระบุให้สืบสวนจนทราบที่อยู่และชะตากรรม และรู้ตัวผู้กระทำผิด ในขณะที่ครอบครัวคนหายต่างถูกคุกคามมาโดยตลอด ไม่นานนี้ขณะจัดงานรำลึก 20 ปี สมชาย นีละไพจิตร ยังมีคนอ้างเป็นเจ้าหน้าที่มาสอดแนม ตามถ่ายภาพครอบครัว ยังไม่นับรวมการด้อยค่า และคุกคามทางออนไลน์

“สมชาย นีละไพจิตร ถูกอุ้มหายในรัฐบาลทักษิณ ปีนี้ลูกสาวคุณทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยคุณทักษิณเองก็ยังมีบทบาททางการเมือง ก็อยากทราบว่าลูกสาวคุณทักษิณในฐานะนายกรัฐมนตรี จะคืนความเป็นธรรมให้ครอบครัวคนถูกอุ้มหายอย่างไร อย่างน้อยบอกความจริง และนำคนผิดมาลงโทษก็ยังดี อุ๊งอิ๊งรักพ่อแค่ไหน ลูกๆคนหายก็รักพ่อไม่ต่างกัน ดังนั้นคืนความยุติธรรมและการเปิดเผยความจริงจึงจะเป็นการเยียวยาที่ดีที่สุดให้แก่ครอบครัว” ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน อดีตสมาชิกคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการสูญหายโดยถูกบังคับ (WGEID) วุฒิสมาชิก และภรรยาของทนายความด้านสิทธิมนุษยชนที่ถูกบังคับสูญหาย สมชาย นีละไพจิตรกล่าว

 นอกจากนี้ในงานยังมีการกล่าวถึงกรณีนายอี ควิน เบดั๊บ เป็นสมาชิกของชุมชนชาวพื้นเมืองมอนตาญาร์ดในเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับการกดขี่และการประหัตประหารมาอย่างยาวนาน หลบหนีออกจากเวียดนามซึ่งชีวิตของเขาอยู่ภายใต้การคุกคามอย่างต่อเนื่อง เขาได้ขอลี้ภัยในประเทศไทยในปี 2018 โดยหวังว่าจะหาสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับตัวเขาและครอบครัว เขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR”

“เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เขาถูกตำรวจไทยจับกุม รัฐบาลเวียดนามกำลังขอให้ไทยส่งตัวเขากลับไปยังเวียดนาม และการพิจารณาคดีของเขายังคงดำเนินอยู่ โดยคาดว่าจะสิ้นสุดในวันจันทร์หน้า — วันที่ 2 กันยายน เราไม่สามารถจินตนาการถึงผลกระทบที่รุนแรงที่เขาและครอบครัวต้องเผชิญหากถูกส่งกลับไปยังเวียดนาม”

“องค์สิทธิมนุษยชนขอให้รัฐบาลไทยไม่ส่งตัวนายอี ควิน เบดั๊บกลับ เนื่องจากจะเป็นการขัดแย้งอย่างชัดเจนต่อพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้สูญหายของประเทศไทย”

ด้านปรานม สมวงศ์ จาก Protection International เปิดเผยข้อมูลว่าตามข้อมูลของคณะทำงานว่าด้วยการบังคับหรือการสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ (WGEID) ตามรายงานล่าสุด ประเทศไทยมีกรณีการบังคับสูญหายที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้หลายกรณี อย่างไรก็ตาม จำนวนที่แน่นอนของกรณีการบังคับสูญหายในประเทศไทยอาจแตกต่างกันไปตามแหล่งข้อมูลและช่วงเวลาที่พิจารณา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา WGEID ได้บันทึกกรณีการบังคับสูญหายในประเทศไทยประมาณ 80 ถึง 90 กรณี จำนวนนี้สะท้อนถึงกรณีที่ได้รับการรายงานและยอมรับโดยสหประชาชาติเพื่อทำการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้อาจไม่ครอบคลุมปัญหาทั้งหมด เนื่องจากบางกรณีอาจไม่ได้รับการรายงานหรือถูกจัดประเภทต่างออกไป

ในวันที่เรารำลึกถึงเหยื่อของการบังคับสูญหายสากล ข้ออ้างเรื่องงบประมาณหรือการขาดแคลนบุคลากรไม่ควรถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ความเงียบและการเพิกเฉยไม่สามารถยอมรับได้อีกต่อไป รัฐมีหน้าที่ไม่เพียงแต่ต้องผ่านกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ถูกบังคับสูญหาย แต่ยังต้องทำให้กฎหมายเหล่านี้มีผลบังคับใช้อย่างแท้จริง เพื่อคืนศักดิ์ศรีและความยุติธรรมให้กับเหยื่อและครอบครัวของพวกเขา เราจะไม่หยุดเรียกร้องจนกว่าความจริงจะถูกเปิดเผย และผู้ถูกบังคับสูญหายจะกลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัว พร้อมกับการปรากฏของความยุติธรรมที่แท้จริง

ทั้งนี้ภายในงานยังได้มีการเปิดคลิปวีดีโอความรู้สึกของแวรอกีเย๊าะ บาเน็ง น้องสาวของ  แวอับดุลวาเหม บาเน็ง ผู้ถูกบังคับให้สูญหายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย  โดยขณะที่หายตัวไปแวอับดุลวาเหมเป็นเพียงเยาวชนจากโรงเรียนสอนศาสนาธรรมวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนชื่อดังของจังหวัดยะลา แวอับดุลวาเหมถูกทำให้สูญหายในวันที่ 17 ตุลาคม 2548 จากสุสานมัสยิดแห่งหนึ่งที่จังหวัดปัตตานี ในช่วงที่รัฐบาลในยุคนั้นมีนโยบายการปราบปรามความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งตลอดการหายตัวไปครอบครัวความยุติธรรมให้กับลูกชายมาโดยตลอด แม้จะโดนข่มขู่คุกคามในการเรียกร้องความยุติธรรมในการตามหาตัวของแวอับดุลวาเหม แม้จะผ่านมานานแล้วถึง 18 ปีแต่ครอบครัวก็ไม่ละความพยายามในการตามหาความจริงและความยุติธรรม

ครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหายยื่น 7 ข้อเรียกร้องให้นายกคนใหม่เปิดเผยความจริงคืนความเป็นธรรมและชดใช้เยียวยาให้แก่ครอบครัวผู้ถูกบังคับให้สูญหาย

ต่อมาครอบครัวของผู้ถูกบังคับให้สูญหายได้ร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการยื่นข้อเรียกร้องผ่านการส่งจดหมายฉบับใหญ่เพื่อติดตามความยุติธรรมให้กับผู้สูญหายและครอบครัวให้กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยมีการติดแสตมป์หน้าซองเป็นรูปของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหาย พร้อมทั้งร่วมกันอ่านข้อเรียกร้องโดยรายละเอียดดังนี้ 

ในท่ามกลางความยินดีกับการที่ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ทำให้อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ สหประชาชาติมีผลบังคับใช้

ในโอกาสวันแห่งการรำลึกถึงผู้ถูกบังคับสูญหายสากล 2567 เราขอเรียกร้องรัฐบาลไทย เปิดเผยความจริงและคืนความเป็นธรรมให้ผู้สูญหายทุกคน เราเน้นย้ำความกังวลและห่วงใยในการดำเนินการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำให้บุคคลสูญหาย การยุติการงดเว้นโทษ และคืนความยุติธรรมครอบครัว ดังนี้

1.          เราเน้นย้ำสิทธิที่จะทราบความจริง เนื่องจากการบังคับบุคคลสูญหาย เป็นอาชญากรรมต่อเนื่อง รัฐมีหน้าที่ต้องสืบสวนสอบสวนจนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรมของผู้สูญหาย และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ 

2.          รัฐบาลต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคี และมีผลบังคับใช้ ต้องมีความจริงใจในการตามหาตัวผู้สูญหาย และคืนพวกเขาสู่ครอบครัว ในการ  การค้นหาตัวผู้สูญหายต้องเป็นไปตามหลักการชี้แนะในการค้นหาผู้สูญหาย ของคณะกรรมการสหประชาชาติ คือการหาตัวบุคคล ไม่ใช่การหาศพ หรือเพราะการค้นหาตัวบุคคล จะทำให้เราทราบเรื่องราวของผู้ถูกบังคับสูญหาย และรู้ตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง 

3.          เราขอเน้นย้ำสิ่งที่รัฐไม่อาจละเลยได้ คือ การรับประกันความปลอดภัยของครอบครัว ในกระบวนการร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรม เพราะเมื่อการบังคับสูญหายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้กระทำผิดยังคงลอยนวล และมีอำนาจในหน้าที่การงาน การคุกคามต่อครอบครัวจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลากหลายรูปแบบ รัฐต้องประเมินความเสี่ยง และออกแบบการดูแลความปลอดภัยร่วมกับครอบครัว และข้อจำกัดเรื่องงบประมาณต้องไม่ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการยุติการคุ้มครองอีกต่อไป

4.          รัฐบาลต้องให้ครอบครัวมีส่วนร่วมอย่างเปิดเผยในกระบวนการหาตัวผู้สูญหาย เพื่อความโปร่งใส และยุติธรรม การตัดสิทธิของครอบครัวในการมีส่วนร่วมทำให้การค้นหาตัวผู้สูญหายไม่รอบด้าน อีกทั้งยังอาจมีการปกปิดความจริงที่เกิดขึ้น

5.          ข้อเรียกร้องต่อมาตรา 13: เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยบังคับใช้มาตรา 13 อย่างเข้มงวด ป้องกันการส่งกลับ (non-refoulement) ซึ่งระบุว่าห้ามมิให้มีการส่งกลับบุคคลไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงว่าจะถูกบังคับให้สูญหายหรือถูกทรมาน

6.          ที่สำคัญที่สุด คือ การขจัดทัศนคติเชิงลบต่อครอบครัว การสร้างภาพให้ผู้สูญหายเป็นคนไม่ดีทำให้ครอบครัวต้องเผชิญกับการตีตราจากสังคม ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็กให้มีชีวิตอย่างหวาดกลัว และไม่มีความมั่นใจในความปลอดภัย

7.     เราขอเน้นย้ำว่า เราจะไม่หยุดส่งเสียงจนกว่าความจริง และความยุติธรรมจะปรากฏ และผู้สูญหายจะกลับคืนสู่ครอบครัว

ในโอกาสวันรำลึกเหยื่อการบังคับสูญหายสากล เราขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจในโอกาสที่ประเทศไทยมี พรบ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และอนุสัญญาการบังคับสูญหาย สหประชาชาติมีผลบังคับใช้ เรายืนยันการให้ความร่วมมือกับรัฐในการค้นหาความจริงและความยุติธรรม เราอยากบอกกับรัฐว่าในฐานะครอบครัวซึ่งส่วนมากคือผู้หญิงและเด็ก เราถูกทำให้อยู่กับความหวาดกลัว ถูกทำให้สูญเสียอัตตลักษณ์ ถูกตีตรา และเพศยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีของเรา เจ้าหน้าที่รัฐอาจไม่รู้ว่า ในแต่ละปี แม่ ๆหลายคนตายจากไปโดยไม่ทราบความจริงว่าลูก ๆ ของพวกเธอหายไปไหน ในฐานะครอบครัว เราขอบคุณมิตรภาพและกำลังใจจากผู้คนร่วมสังคม เราเชื่อมั่นว่าการต่อสู้ของผู้หญิง จะสร้างความตระหนักแก่สังคมถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจมีผู้ใดพรากไปได้ และเราอยากบอกกับรัฐว่าแม้จะล้มเหลว สิ้นหวัง หวาดกลัว และเจ็บปวด แต่ผู้หญิงในฐานะครอบครัวก็ไม่เคยสูญสิ้นความหวัง เรายังคงความเชื่อมั่นว่ากฎหมายจะคืนความเป็นธรรมให้ผู้ถูกบังคับสูญหายทุกคน และสักวันความจริงจะปรากฏ และผู้สูญหายจะกลับคืนสู่ครอบครัวซึ่งเป็นที่รักของพวกเขา

ครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหาย

30 สิงหาคม 2567

ผู้สื่อข่าวรายงานช่วงท้ายงานครอบครัวของผู้สูญหายได้ร่วมกันอ่านบทกวีเพื่อรำลึกถึงคนในครอบครัวที่ถูกบังคับให้สูญหายนอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนยังได้นำดอกไม้ที่แสดงถึงการต่อสู้ไปวางไว้หน้ารูปของผู้ถูกบังคบให้สูญหายทุกคนอีกด้วย

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

มาตรการลงทะเบียนซิมด้วย Liveness Detection ถูกตั้งคำถาม กระทบคนไร้สัญชาติ–แรงงานข้ามชาติ ‘ตี่ตาง’ ชี้จำกัดสิทธิสื่อสาร แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

จากกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ เเละกิจการโทรคมนาคมเเห่งชาติ (กสทช.) ประกาศใช้เทคโนโลยี Liveness Detection เมื่อวันที่...

พ่อหมอกฤตไท ร้องหยุดดองร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ด้านสภาลมหายใจ เเถลงไม่ควรเอื้อนายทุน

หลังจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ในวาระสามด้วยคะแนนเห็นด้วย 309 เสียง...

ให้คะแนนรัฐบาลอนุทิน ‘สอบตกยกแผง’ แก้ปัญหาน้ำกก–สายรวก–โขงปนเปื้อนโลหะหนัก จากเหมืองแร่ในรัฐฉาน

สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประเมินการทำงานของรัฐบาลไทยในการรับมือปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ระบุว่า ‘สอบตกยกแผง’ พร้อมแจกแจงการประเมินเป็นรายบุคคลต่อผู้นำฝ่ายบริหารสามตำแหน่ง นายกฯ...

Lanner Joy: LOLA Gallery DRIP แรงบันดาลใจจากความฝันเล็กๆ สู่รากกาแฟห้วยตองก๊อที่เติบโตอย่างแข็งแรง

เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ยามบ่ายต้นเดือนพฤศจิกายนที่ลานกว้างของโครงการจริงใจมาร์เก็ต เชียงใหม่ เสียงแจ๊สลอยแผ่วเบาเคล้ากลิ่นกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ เทศกาล Jazz Arabica กลับมาอีกครั้งในปี...