พฤษภาคม 20, 2024

    ไม่ได้ร้องขอ หากแต่มาเพื่อบอกกล่าว ‘บุญร่มไทร’ คนจนเมืองริมทางรถไฟ ความเจริญที่ข้ามผ่านคนริมขอบ   

    Share

    เรื่อง : ปภาวิน พุทธวรรณะ

    ช่วงสายของวันธรรมดาทั่วไปในปลายเดือนกุมภาพันธ์ ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองอย่างที่มันควรจะเป็น รถไฟขบวนมหาชน หมายที่ 371 ได้ชะลอความเร็วเพื่อหยุดรับผู้คนเดินทางกลับบ้านสู่ภาคตะวันออก ชานชาลาพญาไท ในเขตราชเทวีแห่งนี้ หากเงยหน้ามองเพียงตึกสูงใหญ่ระฟ้าในกรุงเทพมหานคร  คงไม่อาจเห็นชีวิตผู้คนตัวเล็กริมทาง ที่ถูกผลักไสให้ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนในหลืบเมือง อย่าง ชุมชนบ้านบุญร่มไทร

    (ภาพ : โยษิตา สินบัว)

    ชุมชนริมทางรถไฟเขตพญาไท  มีผู้คนอาศัยกว่า 300 ครัวเรือน ประกอบไปด้วย ชุมชนบุญร่มไทร 150 ครัวเรือน ชุมชนแดงบุหงา 120 ครัวเรือน และชุมชนหลังทางหลวง 30 ครัวเรือน   ที่ได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อขอสิทธิในที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ภายใต้เครือข่ายคนเมืองที่ได้รับผลกระทบจากรถไฟ (ชมฟ.) ต่อโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของภาครัฐ อย่าง  โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะทาง 220 เพื่อต่อขยายความยาว 2 ช่วง จากสถานีพญาไทไปยังสนามบินดอนเมือง และจากสถานีลาดกระบังไปยังอู่ตะเภา ด้วยงบประมาณการลงทุนกว่า 224,544  ล้านบาท  หนึ่งในโครงการนำร่องเพื่อยกระดับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (Eastern Economic Corrdidor : EEC) เชื่อมต่อพื้นที่เขตเศรษฐกิจระดับโลก อย่าง จีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เส้นทางสู่ความเจริญของประเทศไทยที่ดูเหมือนจะสวนทางกับคุณภาพชีวิตของคนจนเมืองที่ต่ำลงไปทุกวัน

    (ภาพ : โยษิตา สินบัว)

    คนจนเมืองรวมถึงผู้ที่มีรายได้น้อยเหล่านี้มีความยากลำบากเป็นอย่างมากในการเลื่อนขึ้นสถานะทางสังคม สถานการณ์ความเป็นเมืองของประเทศไทยและความท้าทายที่เผชิญจากรายงาน URBANIZATION การขยายตัวของเมืองในภูมิภาค รายงานว่า 24% ของคนอาศัยในเมืองมีทางเลือกจำกัดด้านที่อยู่อาศัย เข้าไม่ถึงสิทธิพื้นฐาน ถูกกีดกันออกจากเมืองที่เติบโต ไร้สิทธิไร้เสียงในการสร้างอำนาจการต่อรองหรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดนโยบายการพัฒนาเมือง หรือสิทธิที่จะอยู่ในเมือง ถูกเบียดขับที่อยู่อาศัยจากแผนพัฒนาฯ ด้วยการไล่รื้อ และมองไม่เห็นความมีอยู่ อัตราความยากจนในเมืองที่ลดช้ากว่ามากในเขตชนบท 

    ตัวแทนของเครือข่ายคนเมืองที่ได้รับผลกระทบจากรถไฟ ได้กล่าวว่า ภายหลังที่มีมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลยุค คสช. เห็นชอบต่อโครงการฯ ปี 61 ทาง รฟท. ก็เริ่มติดป้ายประกาศตามบ้านเรือนให้ย้ายออก และรื้อถอน ภายใน 6 เดือน พร้อมกับการถูกพฤติกรรมคุกคามจากเจ้าหน้าที่การรถไฟ และตำรวจรถไฟ อย่างการขอบัตรประชาชนที่แจ้งว่าจะทำการหาที่อยู่อาศัยชั่วคราวใหม่ให้ แต่กลับมาพร้อมเอกสารฟ้องคดีว่าเป็นผู้บุกรุกที่ดินกับชาวบ้านกว่า 16 ราย ไม่หนำซ้ำยังเรียกร้องค่าเสียหายที่ทางชุมชนบุกเบิกพื้นที่อยู่อาศัยย้อนหลัง ไม่นับรวมค่าไฟที่คิดเพิ่มขึ้น 2 เท่าอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากทางชุมชนต้องต่อไฟมาจากอาคาร หรือบ้านเรือนที่จดทะเบียนเลขที่บ้านตามกฏหมาย แม้ปัจจุบัน การต่อสู้ของชุมชนได้ถูกรับฟังจากสำนักเลขาฯ ครม. แล้ว และมีแนวทางแก้ไข หาทางชดเชยเยียวยาชุมชนบุญร่มไทร และชุมชนริมทางรถไฟอื่น ๆ ต่อไป แต่ความขัดแย้งภายในชุมชน และความรู้สึกไม่มั่นคงในการดำรงชีวิตที่ชุมชนต้องแบกรับ และหาหนทางออกด้วยตัวเองซะส่วนใหญ่ เสียงสะท้อนจากคนในชุมชนยังคงหวาดกลัวต่อความไม่มั่นคงในชีวิต แม้บ้านบางหลังที่ตัดสินใจยินยอมรื้อถอนและได้รับค่าชดเชย หรือภาครัฐเสนอหาพื้นที่และงบประมาณในการสร้างบ้านพักชั่วคราวจากสถาบันพัฒนาองค์ชุมชนทั้งสิ้น 270,000 บาท คิดเป็นเพียงรายละ 16,875 บาทเท่านั้น ต่างกันลิบลับจากงบประมาณการพัฒนา ที่กล่าวไปข้างต้นโดยสิ้นเชิง 

    ภายหลังจากที่ นิรุฒ มณีพันธุ์ อดีต ผู้ว่า รฟท. ได้กล่าวทิ้งท้ายหมดวาระ 4 ปีตามกำหนดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ที่ผ่านมาว่า “หากจะหาผู้นำสักคนเข้ามาสำหรับองค์กรนี้ต้องหาคนที่กล้าในการตัดสินใจและคมในเรื่องการใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองพร้อมเรียนรู้ให้จริง หากไม่กล้าและไม่คมจะทำให้ตัดสินใจในแบบที่ผิด จะส่งผลกระทบต่อองค์กร ถ้าคิดที่จะทำตามเพียงนโยบายหรือคิดแค่ว่าทำตามสิ่งที่นำเสนอขึ้นมาโดยที่ไม่ได้อาศัยความแม่นยำจากภาครัฐทั้งด้านกฎหมายและระเบียบ ตลอดจนประโยชน์สูงสุดขององค์กร เชื่อว่าไม่ด้านใดด้านหนึ่งย่อมได้รับความเสียหาย” ซึ่งคำกล่าวทิ้งท้ายก่อนหมดวาระเหล่านี้ ยังคงเป็นอนาคตที่น่ากังวลต่อพี่น้องชุมชมคนจนเมืองริมทางรถไฟ ว่าพวกเขาถูกมองเห็นมากน้อยเพียงใดท่ามกลางวิสัยทัศน์ของกลุ่มทุน และผู้บริหารเหล่านี้ 

    (ภาพ : โยษิตา สินบัว)

    โครงการบ้านมั่นคง พร้อมหนี้สินระยะยาวกว่า 30 ปี ที่ไม่มั่นคง เป็นระยะเวลานานร่วม 10 กว่าปีที่พี่น้องเครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายคนจนเมือง และชุมชนบ้านร่มไทรได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะอยู่ในเมือง ณ ปัจจุบันแม้การดำเนินคดีและการขับไล่ได้ดำเนินไปแล้วบางส่วน  พร้อมกับการจัดหาที่พักอาศัยใหม่ให้กับชุมชนร่วมกับโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยของเคหะแห่งชาติ ขนาดห้องเพียง 30 – 40 ตารางเมตร และอนุญาตให้อาศัยอยู่ได้ไม่เกินครอบครัวละ 4 คน พร้อมกับสัญญาเช่าระยะยาว กว่า 20 ปี หักลบจากความช่วยเหลือของรัฐบาลวงเงิน 160,000 บาท เท่ากับว่า 1 ครอบครัวต้องหาเงินรายเดือนเพื่อชำระค่าที่อยู่อาศัย 2500 – 3000 บาท ในขณะที่ชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพที่ไม่แน่นอน และไม่ได้มีรายได้ประจำรายเดือน ชุมชนหลายคนประกอบอาชีพแม่ค้า วินมอเตอร์ไซต์ พนักงานเสิร์ฟ รับจ้าง ค้าขายทั่วไป ที่เป็นความเสี่ยงอย่างมากในการผ่อนชำระด้วยสัญญาระยะยาวกว่า 20 กว่าปี  ยังไม่รับรวมดอกเบี้ยไหว 

    ชุมชนบุญร่มไทรไม่ได้เป็นเพียงชุมชนเดียวที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของภาครัฐ หากแต่มีชุมชนในที่ดิน รฟท. ทั่วประเทศกว่า 35 จังหวัดรวมทั้งสิ้น 346 ชุมชน หรือ 27,056 หลังคาเรือน ที่แต่ในละภูมิภาคพื้นที่ยังอยู่ในกระบวนการกำหนดทิศทางการชดเชยเยียวยาให้กับผู้คนที่ถูกทำให้เข้าไม่ถึงความเจริญเหล่านี้ 

    ไม่ได้ร้องขอ หากแต่มาเพื่อบอกกล่าว และถ้าหากไม่ลุกขึ้นมาบอกกล่าว ตึกสูงใหญ่เฉียดฟ้าคงกลืนบ้านของเราหายไปในสักวัน…

    บ้านคืออาชีพและชีวิต คนจนขอมีสิทธิที่จะอยู่อย่างคน 

    อ้างอิง
    • บทความวิชาการเรื่อง ‘สิทธิที่จะมีอยู่อาศัยในเมือง’ ตีพิพม์ใน วารสารนิติสังคมศาสตร์ ของคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2562) 
    • บุญเลิศ วิเศษปรีชา. สิทธิในเมือง สิทธิในที่อยู่อาศํย (2021) สืบค้นจาก https://waymagazine.org/land-and-right-housing-14/ 

    ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Journalism that Builds Bridges (JBB) สะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง 5 สำนักข่าว คือ Prachatai, The Isaan Record, Lanner, Wartani และ Louder เพื่อร่วมผลิตเนื้อหาข้ามพื้นที่ และสื่อสารประเด็นข้ามพรมแดน สนับสนุนโดยสถานทูตของเนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และนิวซีแลนด์ รวมถึงยูเนสโกและโครงการร่วมที่นำโดย United Nations Development Programme (UNDP)

    Related

    “ฝันเราไม่เคยจนตรอก” เชียงใหม่ส่งพลังบอลเกงกิ สมัครเพื่อโหวต สว. เปลี่ยนอนาคตประเทศ

    19 พฤษภาคม 2567 เครือข่าย Senate67 จัดกิจกรรม สมัครเพื่อเปลี่ยน: จังหวะนี้มีแต่พี่ที่ทำได้ บริเวณประตูท่าแพ...

    “ชาติพันธุ์ก็คือคน” ความฝันกะเบอะดิน

    เรื่อง: นลินี ค้ากำยาน ภาพ: ธันยชนก อินทะรังษี “เราเชื่อว่าถ้าชุมชนเข้มแข็ง มีความฝันร่วมกันและยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เอาเหมือง เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่แล้วเพราะเขาไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ เราโดนพูดอยู่เสมอว่าเราสู้เขาไม่ได้หรอก เขาเป็นคนใหญ่คนโต...