พฤษภาคม 19, 2024

    ชาวกะเหรี่ยงดอยสะเก็ดรวมตัว ยื่นหนังสือค้านการจัดการที่ดิน คทช. ยืนยันสิทธิรัฐธรรมนูญ ชาวบ้านอยู่ก่อนป่า

    Share

    เมื่อวานนี้ (5 สิงหาคม 2566) ชาวกะเหรี่ยงบ้านห้วยผาตื่น หมู่ที่ 5 และหย่อมบ้านดอย หมู่ที่ 2 ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ประมาณ 40 คน พร้อมด้วยสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ได้เดินทางไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ ยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมป่าไม้ และ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อขอให้ยุติการดำเนินโครงการภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ในพื้นที่ชุมชน โดยมี ณัฐธยาน์ ปรวัฒน์พงศ์ หัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หวาน เป็นผู้รับหนังสือแทน


    ภาพ : มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

    ทั้ง 2 ชุมชนได้ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาด้านที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยตามวิถีชีวิตกะเหรี่ยง และการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรในรูปแบบโฉนดชุมชน ร่วมกับสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) จนเมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2566 ได้มีการจัดประชุมขึ้น ณ ต.ป่าเมี่ยง เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการดำเนินการรูปแบบ คทช. ซึ่งชุมชนบ้านห้วยผาตื่นได้ร่วมเข้าประชุมในการชี้แจงด้วย ชุมชนเห็นว่า แนวทางของคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ขัดต่อรูปแบบการรับรองสิทธิชุมชน ตามรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540 – 2560 และมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 ส.ค. 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง

    โดยภายในหนังสือ ได้ระบุข้อเรียกร้องของชุมชนไว้ดังนี

    1. ก่อนการประกาศพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 หรือ มติ ครม. ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น ในพื้นที่ชึ่งถูกระบุว่าเป็นป่านั้นมีราษฎรอาศัยอยู่และทำมาหากินอยู่ก่อนแล้ว ราษฎรเหล่านั้นอยู่มาก่อนและสืบมรดกตกทอดที่อยู่อาศัยและทำกิน ดูแลรักษาทรัพยากรจากรุ่นสู่รุ่น จนถึงปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนวิถีการทำมาหากิน จากไร่เหล่า ไร่ข้าว เป็นสวนผสมผสาน ดังนั้นชุมชนบ้านผาตื่น จึงยืนยันว่าราษฎรเหล่านี้เป็นเจ้าของที่ แต่รัฐ ไม่มีระบบกรรมสิทธิที่เหมาะสมในการรับรอง และพยายามออกแบบให้อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิ

    2. รูปแบบการจัดการที่ดิน ภายใต้ คทช. คือการขอใช้ประโยชน์ในที่ทำกิน โดยใช้เงื่อนไข มติ ครม. หลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ โดยใช้ชั้นลุ่มนำ้ 3 – 4 – 5 กลายเป็นคนขอใช้ประโยชน์จากผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนในชั้นลุ่มน้ำ 1 – 2 ให้อนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศ กลับทำให้ที่ทำกินเดิม หรือระบบไร่เหล่า กลายเป็นการปลูกป่าในที่ของราษฎร ใช้กฎหมายเป็นข้อจำกัด ทำให้สูญเสียที่ดิน

    3. การพิสูจน์สิทธิพื้นที่ตาม มติ ครม. 30 มิ.ย. 2541 ทั้งการใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ที่ไม่ครอบคลุมทุกชั้นปี และกระทบต่อระบบวิถีชีวิตแบบหมุนเวียน ทำให้ไม่สอดคล้องกับสภาพวิถีการใช้ประโยชน์ของราษฏร

    4. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยึดถือแนวทางโฉนดชุมชน ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 และ พ.ศ. 2554 เป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหา และแนวทาง มติ ครม. 3 ส.ค. 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง มาเป็นแนวทางพิจารณาในการแก้ไขปัญหาให้กับชุมชน จนกว่าจะมีความชัดเจนนโยบาย

    5. ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ ในพื้นที่บ้านห้วยผาตื่นและบ้านดอย ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เพื่อให้เกิดเวทีและชี้แจงทำความเข้าใจกับการดำเนินโครงการต่างๆ กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยผ่านการประชาคมและการมีส่วนร่วมของชุมชนได้อย่างแท้จริง



    จรัสศรี จันทร์อ้าย ตัวแทนชาวบ้านห้วยผาตืน กล่าวว่า ชาวบ้านไม่ด้วยกับ คทช. ด้วยเหตุผลว่าเราอยู่ทำกินมาก่อนที่จะมีการประกาศเขตป่า ซึ่งป่ามาทีหลัง แต่ชาวบ้านอยู่มาก่อน

    “เมื่อก่อนเราทำไร่หมุนเวียนจนท่านทั้งหลายบอกให้เราคืนป่า เราก็คืนเป็นสวนป่า ตอนนี้มีแต่ที่สวนและที่อยู่อาศัยของเรา จะไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว เราจึงฝากไปทางหัวหน้าว่าเราไม่เอา คทช. บ้านเราเป็นพื้นที่ต้นน้ำชั้น 1A แนวทาง คทช. ไม่เหมาะสมกับเรา”

    ด้าน วิศรุต ศรีจันทร์ กองเลขานุการขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) กล่าวว่า ที่ชาวบ้านยืนยันคือเรื่องสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่อยู่มาก่อนกฎหมาย ซึ่งชาวบ้านควรมีสิทธิมากกว่ากฎหมายที่มาจำกัดว่าต้องอยู่ตามเงื่อนไขชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ หรือเงื่อนไขภาพถ่ายทางอากาศปี 2545 เขาควรได้รับสิทธิ ไม่ใช่ต้องมาขออนุญาต และเสนอให้อุทยานฯ และป่าสงวนฯ เข้าไปจัดเวทีในระดับพื้นที่

    “อุทยานฯ ควรไปจัดเวทีในระดับพื้นที่ แล้วให้คุยกันอย่างตรงไปตรงมาว่ามีเงื่อนไขการใช้ที่ดินแบบไหน ใครจะเข้าสำรวจตามแนวทาง คทช. ก็เข้า แต่ชาวบ้านมีสิทธิยืนยันว่าจะไม่เข้าก็ได้ นอกจากนั้นมีแนวนโยบายอื่นๆ อีก เช่น มติ ครม. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีอื่นๆ ซึ่งหัวหน้าควรไปศึกษา”

    ณัฐธยาน์ ปรวัฒน์พงศ์ หัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หวาน ได้รับหนังสือไว้ และกล่าวว่าให้นำข้อเท็จจริงในพื้นที่มาคุยกัน เช่น หาหลักฐานการอยู่อาศัยและทำกิน ถามจากคนที่อยู่มานาน หากต้องการใช้มติ ครม. 3 ส.ค. 2553 ก็ทำได้

    “อยากให้ทุกแปลงที่มีตัวตนอยู่ในพื้นที่แสดงตัวว่ามีตัวตนอยู่ เมื่อพิสูจน์สิทธิเสร็จแล้วจะใช้อะไรก็ได้ เช่น มติ ครม. ของกระทรวงวัฒนธรรม ขอให้นำข้อเท็จจริงมา ให้รัฐรู้ก่อนว่าอยู่ตรงไหน”

    ที่มา : มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

    Related

    “ชาติพันธุ์ก็คือคน” ความฝันกะเบอะดิน

    เรื่อง: นลินี ค้ากำยาน ภาพ: ธันยชนก อินทะรังษี “เราเชื่อว่าถ้าชุมชนเข้มแข็ง มีความฝันร่วมกันและยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เอาเหมือง เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่แล้วเพราะเขาไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ เราโดนพูดอยู่เสมอว่าเราสู้เขาไม่ได้หรอก เขาเป็นคนใหญ่คนโต...

    ชุมชนริมทางรถไฟบุญร่มไทร กระจกสะท้อนความเลื่อมล้ำผ่านความเป็นเมือง

    เรื่องและภาพ: ธันยชนก อินทะรังษี ท่ามกลางตึกสูงตั้งตะหง่าน และความวุ่นวายในเมืองหลวง  การขยายตัวของเมืองและการพัฒนาเมือง ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากมาย แต่นั่นก็ตามมาซึ่งปัญหาทางด้านสังคมเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะความเลื่อมล้ำทางรายได้ ความเป็นอยู่...

    อยู่-ระหว่าง-เหนือ-ล่าง: ทำไมผมต้องข้ามจังหวัด​เพื่อไปดูหนัง และจะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะได้เห็นโรงหนังอิสระทั่วไทย

    เรื่อง: ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย รถยนต์​ก็​ยัง​ไม่มี​ รถเมล์ก็​มา​ไม่ถึง​ เป็นเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจากเพลงสาวดอย 4x4 ที่ขับร้องโดยคาราบาว เล่าถึงความยากลำบากของชีวิตที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ผ่านการไม่มีรถส่วนตัวและไม่มีขนส่งสาธารณะ​ที่เข้าถึงได้ง่าย...