เชียงแสน Secret: ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมล้านนาจากอดีตสู่ปัจจุบัน

Date:

เรียบเรียง: สุรยุทธ รุ่งเรือง

เมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีการจัดเวทีเสวนาพิเศษ Thailand Biennale Chiangrai 2023 : ความลับของเชียงแสน ณ พิพิทธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน จ.เชียงราย โดยมี อ.ภูเดช แสนสา จากสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ (เพ็ญ ภัคตะ) และ จิตติ เกษมกิจวัฒนา ศิลปิน ภัณฑารักษ์อิสระ และนักการศึกษา ร่วมการเสวนา

ประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงแสน และมรดกที่ตกทอดไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ 

ภาพ: สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

ภูเดช แสนสา กล่าวถึงมรดกของเชียงแสนในด้านศิลปวัฒนธรรม ที่ถูกส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน อย่างเช่นพระพุทธรูปที่ถูกสร้างขึ้นในอดีต ในรูปแบบของศิลปะเชียงแสน ก่อนจะถูกรวมเป็นศิลปะล้านนาอย่างในปัจจุบัน หรือศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวในอดีตอย่างการฟ้อนเชียงแสน หรือในด้านอาหารการกิน เชียงแสนเองก็มีแกงฮังเลเชียงแสนที่แตกต่างไปจากแกงฮังเลอื่นๆ ภูเดช สรุปรวม “ความเป็นเชียงแสน” ไว้ว่าเป็นดั่งความดีความงาม และความเฉพาะตัวที่ถูกส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นถือความลับเชียงแสนในแง่ที่ดีอีกด้วย

“ในบุคคลที่สนใจประวัติศาสตร์ หรือเรื่องราวทางศิลปะ ก็จะเห็นว่าพระพุทธรูปสวย ๆ เด่น ๆ ในช่วง 5-6 ทศวรรษที่ผ่านมา จะมีการใช้คำว่าศิลปะเชียงแสน ก่อนจะมีการเปลี่ยนเป็นคำว่าศิลปะล้านนาในภายหลัง เพราะงั้นความเป็นเชียงแสนจึงแทนความดีความงาม เป็นความลับที่เรายังไม่รู้ ยังไม่เคยเอามาคุยกัน เป็นความลับที่ดี” ภูเดชกล่าว

ภูเดช บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองเชียงแสน โดยถูกสร้างขึ้นในปีพ.ศ.1871 โดยพญามังราย ในพื้นที่รอยต่อระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ เช่น ล้านช้าง และรัฐฉาน ทำให้เมืองเชียงแสนกลายเป็นจุดการค้าและการคมนาคมที่สำคัญ โดยมีพญาแสนภู หลานของพญามังรายเป็นผู้ปกครองดูแล และชื่อ “เชียงแสน” ก็เป็นการตั้งชื่อตามพญาแสนภู ผู้ที่เข้ามาปกครองนั่นเอง

พญาแสนภู (ภาพ: https://www.blockdit.com/posts/5f401e13336c170f317b451b)

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังเชียงแสนถูกสถาปนาให้กลายเป็นศูนย์กลางล้านนาตอนเหนือในช่วงปี พ.ศ.2101 โดยพระเจ้าบุเรงนองแห่งราชวงศ์ตองอู ลากยาวมาจนถึงปีพ.ศ.2270 ในสมัยของพระเจ้ามังแรนร่า ซึ่งเกิดการก่อกบฏนำโดย เทพสิงห์ ที่ได้ทำการสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์หลังจัดการประหารพระเจ้ามังแรนร่าได้

หลังขึ้นครองราชย์ได้เพียง 1 เดือน ทางเมียนมาได้ร่วมมือกับเจ้าองค์คำ เจ้านายเชื้อสายไทลื้อ-ล้านช้าง เพื่อเข้าขับไล่เทพสิงห์จากการครองราชย์ ก่อนจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ ทำให้เมืองเชียงใหม่กลับมามีอำนาจภายใต้การปกครองของไทลื้อและล้านช้าง โดยที่ภายหลัง เจ้าองค์คำได้ประกาศอิสรภาพจากเมียนมา ทำให้มีการตัดแบ่งพื้นที่ล้านนาออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนหนึ่งมีเมืองเชียงใหม่ของเจ้าองค์คำเป็นศูนย์กลาง และอีกส่วนหนึ่งมีเมืองเชียงแสนเป็นศูนย์กลางซึ่งมี เจ้าฟ้าเชียงแสนเป็นผู้ปกครอง

เชียงแสน ภายใต้อำนาจการปกครองของกษัตริย์เมียนมา ถูกควบคุมดูแลอย่างแน่นหนา ภูเดชให้เหตุผลว่าเมืองเชียงแสน กลายเป็นเส้นทางการติดต่อกับเมืองอังวะซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ของเมียนมาหลังศูนย์กลางการปกครองถูกเปลี่ยนไปจากเดิมคือเมืองหงษาวดี ก่อนจะถูกเข้าตีครั้งสุดท้ายในปีพ.ศ.2347 จนทำให้วัฒนธรรมเชียงแสนกระจัดกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ

วัฒนธรรมเชียงแสนที่ถูกนำออกไปในช่วงปีพ.ศ.2347 นี้เอง กลายเป็นจุดตั้งต้นของมรดกทางวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อกันมาในพื้นที่อื่น ๆ นอกเมืองเชียงแสน โดยหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่ภูเดชนำเสนอคือในเรื่องของศิลปินอย่าง ท้าวสุนทรพจนกิจ หรือ ใหม่ บุญมา สุคันธกุล ศิลปินเชื้อสายลื้อ ชาวเชียงแสนที่บรรพบุรุษเดินทางไปยังบ้านฮ่อม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นศิลปินผู้แต่งค่าวฮ่ำต่าง ๆ เกี่ยวกับวัดสวนดอก และครูบาศรีวิชัย รวมถึงบทละครน้อยไชยา นอกจากนั้นยังมีวัฒนธรรมอื่น เช่น การทอผ้าตีนจกของชาวเชียงแสน การก่อสร้างของช่างชาวเชียงแสน ซึ่งจะมีผลงานให้เห็นตามคุ้ม หรือวัดวาอารามต่าง ๆ หรือความชำนาญด้านการโลหะ จากการที่เมืองเชียงแสนมีบ่อเหล็กขนาดใหญ่ ทำให้ชาวเชียงแสนมีความสามารถและความรู้เกี่ยวกับโลหะติดตัว เป็นต้น

วัดป่าสัก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่วัฒนธรรมต่างถิ่นมารวมตัวกัน

ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ (เพ็ญ ภัคตะ)

ดร.เพ็ญสุภา กล่าวถึงประวัติศาสตร์ทางศิลปะของเชียงแสน โดยยกรูปทรงเจดีย์ป่าสักเป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ประกอบไปด้วยส่วนฐานล่างเป็นซุ้มพระ ด้านละ 3 องค์ สลับกับเทวดากระหนาบข้าง ส่วนเรือนธาตุเป็นทรงปราสาท มีซุ้มจระนำและพระยืนด้านละองค์ ตกแต่งซุ้มเคล็ก ลายหน้ากาล มกร และส่วนยอดบนสุด เป็นทรงระฆัง 5 ยอด บัวปากระฆังและยอดเจดีย์เป็นบัวกลุ่ม

เจดีย์ป่าสัก มีความก้ำกึ่งในเชิงประวัติศาสตร์ศิลปะที่ถูกสร้างโดยพญาแสนภู โดยได้รับอิทธิพลจากเจดีย์กู่กุฎ วัดจามเทวี ในส่วนฐานชั้นล่าง เพ็ญสุภากล่าวเสริมว่าการสร้างเทวดาสลับกับซุ้มพระ เพื่อเป็นการสร้างความแตกต่างจากตรีกาย มหายาน โดยเทวดาที่ถูกสร้างยังมีลักษณะเครื่องแต่งกายคล้ายกลุ่มเทวดาบนเจดีย์เจ็ดแถวของศรีสัชนาลัยอีกด้วย

เจดีย์วัดป่าสัก (ภาพ: https://chiangrai.bethailand.com/travel/วัดป่าสัก-เชียงราย/#google_vignette)

อย่างไรก็ตาม มีทฤษฎีหนึ่งเกิดขึ้นในหมู่นักโบราณคดี ว่าแท้จริงแล้วพญาแสนภูไม่ใช่ผู้ที่ติดต่อกับอาณาจักรสุโขทัย แต่เป็นพญากือนา จึงเชื่อว่าเจดีย์ป่าสักไม่ได้ถูกสร้างโดยพญาแสนภู หรือไม่ก็มีการสร้างต่อเนื่องไปจนถึงยุคของพญากือนา หนึ่งในหลักฐานคือซุ้มพระในฐานชั้นล่างล้วนเป็นปางเปิดโลก แต่มีเพียงหนึ่งองค์ที่เป็นปางลีลา ซึ่งเชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากสุโขทัย พระพุทธรูปปางดังกล่าวจึงไม่น่าจะถูกสร้างในยุคของพญาแสนภูได้ ซึ่งประเด็นเกี่ยวกับผู้สร้างที่แท้จริงของเจดีย์ป่าสักยังคงเป็นปริศนา

ในส่วนยอดของเจดีย์ป่าสัก มีสถูปิกะ (เจดีย์จำลอง 4 มุม) เหมือนกับเจดีย์แม่ครัว (เชียงยัน) ของหริภุญไชย ส่วนเรือนธาตุของเจดีย์ป่าสัก มีการสร้างพระปางเปิดโลก 4 ด้านอยู่ใต้ซุ้มเคล็ก ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะหริภุญไชย แต่นำมาปรับเปลี่ยนเพิ่มเป็น 2 ชั้น จากเดิมที่มีเพียงชั้นเดียว โดยซุ้มเคล็กนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ในศิลปะแบบพุกามในประเทศเมียนมา หรือระกาในศิลปะขอม แตกต่างกันที่ซุ้มเคล็กของเมียนมาจะมีลักษณะสูงตรง และระกาในศิลปะขอมจะมีลักษณะโค้ง

เสากรอบซุ้มเคล็กและเสามุมผนังของเจดีย์ป่าสัก เป็นการผสมกันระหว่างบัวกลุ่มมีเกสรแบบหริภุญไชย และเสากรอบสามเหลี่ยมคว่ำ-หงาย แบบพุกาม เพ็ญสุภากล่าวเสริมว่า เสาลักษณะนี้จะกลายเป็นต้นแบบให้กับเสาในศิลปะล้านนาที่พบในภายหลัง

ต่อมา เพ็ญสุภา กล่าวถึงส่วนที่มีหน้ากาลของวัดป่าสัก โดยมีอยู่ทั้งหมด 2 จุด จุดแรกอยู่ที่ปลายยอดเหนือกรอบซุ้มฝักเพกา มือยึดท่อนวงโค้ง และจุดที่สองอยู่ในตำแหน่งกาบบัวเชิงปิดฐานเสา โดยตำนานของตัวหน้ากาลกล่าวว่า ถูกสาปแช่งโดยพระศิวะและให้มาเฝ้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ภูตผีปีศาจเข้ามาในอาณาเขตได้ ซึ่งตัวหน้ากาลนี้เองเป็นรูปสถาปัตยกรรมที่ถูกพบได้ในงานสถาปัตยกรรมของหริภุญไชย เช่น วัดสองแคว เป็นต้น

ส่วนสุดท้ายที่ถูกกล่าวถึง คือส่วนที่มีมกรคายนาค สัตว์ผสมระหว่างจระเข้และช้าง โดยจะถูกประดับอยู่ในจุดปลายของท่อนวงโค้งของซุ้มเคล็กที่ถูกยึดไว้ด้วยมือของหน้ากาล โดย ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้ตีความตัวมกรไว้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของอินเดีย ที่นำศาสนามาสู่สุวรรณภูมิ โดยที่เมืองต่าง ๆ ในพื้นที่สุวรรณภูมิลุ่มแม่น้ำโขง ใช้นาคเป็นสัญลักษณ์ เช่น ในพื้นที่ล้านนา ล้านช้าง หรือเขมร เป็นต้น ดังนั้นลักษณะของมกรคายนาค จึงเป็นเหมือนวัฒนธรรมร่วมของอุษาคเนย์ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ดร.เพ็ญสุภา สรุปความลับของวัดป่าสักเชียงแสนไว้ ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่รวบรวมสถูปหลากหลายรูปทรงไว้ในที่เดียว เป็นการหลอมรวมศิลปะสถาปัตยกรรมจากสกุลต่าง ๆ มาใช้ได้อย่างแยบยลในลักษณะของการ “เลือกรับและปรับใช้” ไม่ได้ลอกเลียนมาทั้งหมด

ศึกษาหลักฐานจากอดีต เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางในปัจจุบัน

จิตติ เกษมกิจวัฒนา เสนอคำถามเกี่ยวกับการสร้างวัดป่าสัก ว่าหากถูกสร้างในสมัยพญาแสนภูจริง ศิลปวัฒนธรรมจากดินแดนต่าง ๆ จะสามารถนำมาปรับใช้กับวัดป่าสักได้ภายในเวลา 3 รัชกาลจริงหรือ ประเด็นถัดมาคือที่มาที่ไปที่แท้จริงของพระพุทธรูปปางเปิดโลก และประเด็นสุดท้ายเกี่ยวกับตัวหน้ากาล ที่จิตติมีความสนใจในเชิงปรัชญา โดยกล่าวเปรียบเทียบตัวหน้ากาลที่ถูกเรียกตามตำนานว่าเป็นผู้กลืนกินกาลเวลา กับงานศิลปะตะวันตก “เทวฑูตแห่งประวัติศาสตร์” (Angel of History) ซึ่งมีการตีความโดย วอลเตอร์ เบนจามิน (Walter Benjamin) นักปรัชญาชาวเยอรมัน ว่าเป็นเทวฑูตซึ่งปีกถูกสายลมแห่งความก้าวหน้า (Progression) พัดถอยกลับไปในกาลเวลา ทำได้เพียงทอดมองความเป็นไปของโลกจากประวัติศาสตร์เท่านั้น 

จิตติ เกษมกิจวัฒนา (ภาพ: https://www.thailandbiennale.org/artists/chitti-kasemkitvatana/)

ประวัติศาสตร์ของตัวหน้ากาล สามารถย้อนไปได้ถึงตำนานที่เชื่อมโยงกับพระศิวะของประเทศอินเดีย จิตติบอกเล่าถึงงานวิจัยทางประวัติศาสตร์ที่สามารถสืบย้อนประวัติศาสตร์ของตัวหน้ากาลกลับไปได้ไกลกว่าประเทศอินเดีย นั่นคือ “เทาเที่ย” ของประเทศจีน ที่เป็น 1 ใน 4 อสูรผู้คุมทางเข้านรกตามตำนานจีน 

จิตติ เล่าถึงความเชื่อของเทาเที่ย ที่เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมมายังประเทศอินเดีย จนเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามบริบทของพื้นที่ ก่อนจะกลายเป็นความเชื่อของตัวหน้ากาลซึ่งเดินทางเข้ามาในพื้นที่ล้านนา ส่วนในแง่ของความเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ นี่เป็นการเคลื่อนตัวของงานศิลปกรรมจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่ของศิลปะแล้ว ชื่อหน้ากาล เพิ่งถูกใช้เรียกในงานเขียนหลังจากที่ความเชื่อดังกล่าวเดินทางเข้ามาในพื้นที่แล้ว จิตติจึงมองว่านี่เป็นข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง แต่ชื่อที่แท้จริงในตอนที่ความเชื่อของตัวหน้ากาลเข้ามาสู่อินเดียและล้านนาคืออะไรนั้น ก็ยังคงไม่ทราบได้ ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์ ต้องมีการปรับปรุงข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

“ถ้าเรามองในมิติของการศึกษาประวัติศาสตร์ มันก็ก้ำกึ่งว่านี่ไม่น่าจะเป็นจริงทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม แง่คิดของพวกเราในปัจจุบันคือต้องทำให้มันสืบต่อไป จนวันหนึ่งเราอาจจะเจอหลักฐานที่ชัดเจนมากขึ้น ก็จะสามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นไปอีก” จิตติกล่าว

จิตติ กล่าวต่อถึงวัดป่าสัก ในแง่ของการเป็นตัวแทนของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และการก่อตัวของวัฒนธรรม ว่าไม่ใช่เป็นการรวมวัฒนธรรมต่าง ๆ ไว้ในจุดจุดเดียว แต่เป็นการประกอบกันด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนและเคลื่อนที่ไปตามหน้าประวัติศาสตร์ โดยเสริมว่า งานศิลปะภายในพิพิธภัณฑ์มีนัยยะถึงภาพรวมของเชียงแสนและล้านนา ที่ดูผิวเผินอาจจะไม่มีแง่มุมอะไรมากนัก แต่เมื่อผู้ชมศึกษาและเข้าใจประเด็นต่าง ๆ เช่น ชาติพันธุ์ หรือองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดเชียงแสน ก็จะทำให้เห็นมิติที่อยู่ลึกลงไปอีกได้ ซึ่งจิตติมองว่ามีความสำคัญ

กำแพงเมืองเชียงแสน หลักฐานการคงอยู่ร่วมกันของวัฒนธรรมและธรรมชาติ

ในเวทีเสวนาถัดมา คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวเบอร์ลิน-ปารีส ได้กล่าวแนะนำงานศิลปะของตนที่นำมาจัดแสดง ณ พิพิทธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน โดยมีคอนเซ็ปต์ของการซ่อมแซม ที่ในทางตะวันตก หมายถึงการสร้างสิ่งที่เสียหายไปแล้วขึ้นมาใหม่ ซึ่งต้องมีร่องรอยของการซ่อมแซมตกค้างไว้ให้ได้พบเห็นกันอยู่ ต่างจากการซ่อมแซมในทางตะวันออก ที่คาแดร์ตีความว่าเป็นการซ่อมแซมที่ลบร่องรอยตกค้างออกไปจนหมด จนเหมือนของที่เคยเสียหายกลายเป็นของใหม่ 

คาแดร์ อัทเทีย (Kader Attia) ศิลปินชาวเบอร์ลิน-ปารีส (ภาพ: https://www.thailandbiennale.org/artists/kader-attia/)

คอนเซ็ปต์ทางศิลปะดังกล่าว สามารถนำมาตีความใหม่ได้ในบริบทของสังคมทุนนิยม ที่เมื่อสิ่งของต่าง ๆ มีการชำรุด แทนที่จะซ่อมแซมจนสิ่งของกลับมาใช้ได้ พร้อมกับร่องรอยความพยายามของการซ่อมแซมที่เป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งของชิ้นนั้นๆ ถูกซ่อมจนนำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง ผู้คนกลับเลือกที่จะซื้อของใหม่ทันทีหลังจากสิ่งของต่าง ๆ เกิดการชำรุดเสียหาย

คาแดร์ เปรียบเทียบพฤติกรรมการซื้อของใหม่เมื่อมีสิ่งของเสียหาย ว่าเป็นการลบประวัติศาสตร์ การซ่อมแซมจึงเป็นเหมือนกับการยอมรับว่ามีอุบัติเหตุ หรือความผิดพลาดเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ รวมถึงในแง่ของวัฒนธรรมและธรรมชาติด้วย 

สิ่งที่ดึงดูด คาแดร์ ให้เข้ามาทำงานศิลปะเกี่ยวกับกำแพงเมืองเชียงแสน คือการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่ตั้งตระหง่าอยู่ท่ามกลางพืชพันธุ์ที่เติบโตขึ้นแทรกตามกาลเวลา รวมทั้งยังมีความน่าสนใจในแง่ของการที่กำแพงเมืองเชียงแสน เป็นดั่งชั้น (Layer) ทางประวัติศาสตร์ ที่สามารถใช้เป็นแหล่งศึกษาทางประวัติศาสตร์ได้ โดยคาแดร์เปรียบเทียบว่านี่เป็นการยอมรับทั้งวัฒนธรรมและธรรมชาติ ว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้

นอกจากนั้น คาแดร์ยังได้เปรียบเทียบเชียงแสนกับนครวัด โดยกล่าวว่ามีความแตกต่างกันและเปรียบเทียบได้ยาก เชียงแสนมีความโดดเด่นของกำแพงเมืองและความเชื่อมโยงกับแม่น้ำโขง อีกทั้งการที่เชียงแสนเป็นพื้นที่ที่ยังไม่เคยถูกปกครองโดยชาติอาณานิคม ทำให้เชียงแสนมีความผูกพันกับผู้คนในท้องถิ่น ที่ในปัจจุบันก็ยังคงมีร่องรอยของเชียงแสนในอดีตหลงเหลืออยู่

บัณฑิตการพัฒนาระหว่างประเทศช่างฝันที่อยากทำงานเขียน เฝ้าหาโอกาสที่จะสื่อสารส่งผ่านความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสังคมในทางที่ดีขึ้น

สุรยุทธ รุ่งเรือง
สุรยุทธ รุ่งเรือง
บัณฑิตการพัฒนาระหว่างประเทศช่างฝันที่อยากทำงานเขียน เฝ้าหาโอกาสที่จะสื่อสารส่งผ่านความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสังคมในทางที่ดีขึ้น

มาตรการลงทะเบียนซิมด้วย Liveness Detection ถูกตั้งคำถาม กระทบคนไร้สัญชาติ–แรงงานข้ามชาติ ‘ตี่ตาง’ ชี้จำกัดสิทธิสื่อสาร แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

จากกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ เเละกิจการโทรคมนาคมเเห่งชาติ (กสทช.) ประกาศใช้เทคโนโลยี Liveness Detection เมื่อวันที่...

พ่อหมอกฤตไท ร้องหยุดดองร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ด้านสภาลมหายใจ เเถลงไม่ควรเอื้อนายทุน

หลังจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ในวาระสามด้วยคะแนนเห็นด้วย 309 เสียง...

ให้คะแนนรัฐบาลอนุทิน ‘สอบตกยกแผง’ แก้ปัญหาน้ำกก–สายรวก–โขงปนเปื้อนโลหะหนัก จากเหมืองแร่ในรัฐฉาน

สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประเมินการทำงานของรัฐบาลไทยในการรับมือปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ระบุว่า ‘สอบตกยกแผง’ พร้อมแจกแจงการประเมินเป็นรายบุคคลต่อผู้นำฝ่ายบริหารสามตำแหน่ง นายกฯ...

Lanner Joy: LOLA Gallery DRIP แรงบันดาลใจจากความฝันเล็กๆ สู่รากกาแฟห้วยตองก๊อที่เติบโตอย่างแข็งแรง

เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ยามบ่ายต้นเดือนพฤศจิกายนที่ลานกว้างของโครงการจริงใจมาร์เก็ต เชียงใหม่ เสียงแจ๊สลอยแผ่วเบาเคล้ากลิ่นกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ เทศกาล Jazz Arabica กลับมาอีกครั้งในปี...